ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Beloved Empress ฮองเฮาสุดที่รัก (นิยายแปล)







        นางคือบุคคลคนที่โง่เขลาที่เฝ้ารักคนอย่างเขา และเพราะเขา ทำให้นางกลายมาเป็นคนหยาบคาย ไร้เหตุผล เอาแต่ใจ ขี้อิจฉา และกลายเป็นคนบ้าคลั่ง


            แต่เขาไม่แม้แต่ละเหลียวแลมาที่นาง พวกเขาแต่งงานกันมานานกว่าสองปี เขาไม่เคยมีท่าทีชื่อชอบนางเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้นางกลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งโลกหัวเราะเยาะ


            ในที่สุดความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ได้นำให้นางต้องเดินไปสู่การเสียชีวิตที่น่าเศร้า


            เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว


            เมื่อเจ้าเป็นฮองเฮา เจ้าจำเป็นจะต้องมีคุณธรรม ใจกว้าง แก้ไขข้อบกพร่องของความอิจฉาริษยาที่มีก่อนหน้าให้หมดไป


            นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนชีวิตในวังของฮองเฮา


            การริเริ่มด้วยการช่วยเหลือฮ่องเต้เพื่อมองหาหญิงงาม แล้วส่งพวกนางไปปฏิบัติเขาในห้องบรรทม การสอนบนเรียนในการกลายเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ให้แก่เหล่านางสนมทั้งหลาย และแม้กระทั่งการมอบตราประทับแห่งหงส์เพลิงเพื่อเป็นรางวัล สำหรับใครก็ตามที่สามารถตอบสนองความต้องการของฮ่องเต้บนเตียงมังกรได้ จะมีโอกาสได้รับตราแห่งหงส์เพลิงและยังจะได้นั่งบนที่นั่งอังสูงส่งนั่นอีก จะได้สัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ถึงจะถูกเรียกได้ว่าเป็นฮองเฮที่ไร้ที่ติ


            นางนั้นเต็มไปด้วยคุณธรรมเหล่านี้ ฮ่องเต้ควรจะยินดีในทุกๆ ด้าน


            นางไม่เคยคาดหวังว่าฮ่องเต้จะรู้จักสิ่งที่ดีๆ จากสิ่งที่ไม่ดี ไม่เพียงแต่ตำหนินางเท่านั้น แต่กลับยังขัดแย้งกับนางในทุกๆ อย่าง ผู้หญิงที่นางส่งไปต่างถูกเขาขับไล่ไสส่งไปจนหมด  


            นับตั้งแต่ที่เขาไม่ชื่นชอบหญิงงามเหล่านั้น จึงทำให้เห็นได้ชัดว่าเขาคงจะมีความสนใจที่พิเศษออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงได้ส่งกลุ่มของชายงามไปให้ ทั้งบนทั้งล่างต่างก็มีตัวเลือกมากมายอยู่ในตัว


            แต่ในที่สุด พวกเขาเหล่านั้นก็ถูกไล่ส่งออกไป


            ดังนั้นฮองเฮาจึงต้องเดินทางไปยังห้องบรรทมของฮ่องเต้ด้วยตัวเอง


            “ฝ่าบาท ตรงส่วนนั้นของพระองค์มีอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถพูดออกมาได้หรือไม่เพคะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอให้พระองค์เชื่อมั่นว่าทรงสามารถบอกหม่อมฉันได้ หม่อมฉันจะส่งหมอหลวงมารักษาอย่างลับๆ เพคะ”ดูความมีคุณธรรมของนาง นางแทบจะร้องไห้ออกมาได้เลยทีเดียว


            “อาการเจ็บป่วยที่พูดออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”แล้วคิ้วดาบของฮ่องเต้ก็ยกขึ้น พร้อมกับดวงตาที่เป็นอันตรายก็ปรากฏขึ้นให้เห็น ก่อนจะเดินเข้ามาหานางอย่างช้าๆ และออกคำสั่งที่ไม่คาดคิดขึ้น


            “คือนี้ ฮองเฮาจะต้องเป็นคนปฏิบัติข้า”


            “ว่าอย่างไรนะเพคะ”จากนั้น โม่ฉีฉี ด้วยความเร็วราวกับฟ้าผ่าได้ทิ่มแทงเข้าไปยังรังแตนในทันที


            “อ่า..”เสียงร้องที่น่าอนาถก็ดังขึ้น


            โม่ฉีฉี มองดูฮ่องเต้ด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถามขึ้น


            “ฝ่าบาท พระองค์ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”


            ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บปวดอย่างที่สุด


            “ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้”


            “ดูเหมือนว่าพระองค์จะมีอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถพูดออกมาได้จริงๆ ด้วย”


Eng Ver : https://girlynovelsblog.wordpress.com/2016/11/03/001-crossed-over-for-real/
ผู้แปลอิง :


.....................................................................................................................


สารบัญ

บทนำ

ตอนที่ 1 : ข้ามเวลามาจริงๆ หรือ

ตอนที่ 2 : บุกตำหนักงานเลี้ยง 

ตอนที่ 3 เห็นดีเห็นงาม

ตอนที่ 4 เราจะค้างที่ตำหนักหงส์

ตอนที่ 5 ภารกิจค้นห้องน้ำ

ตอนที่ 6 ข่มขู่ 

ตอนที่ 7 ช่วยฮองเฮาเปลี่ยนเสื้อผ้า 

ตอนที่ 8 ท่านพ่อเหมือนจะไม่ใช่คนดี 

ตอนที่ 9 นี่ท่านใช่พ่อแท้ๆ ของข้าหรือไม่ 

ตอนที่ 10 ปากเป็นแผล

ตอนที่ 11 การเป็นฮองเฮาไม่ใช่เรื่องง่าย 

ตอนที่ 12 การรักษาระยะห่าง 

ตอนที่ 13 สิ่งที่ผู้อื่นไม่ควรรู้

ตอนที่ 14 ฮองเฮาเป็นกังวล  

ตอนที่ 15 ฮ่องเต้หมดสติไป 

ตอนที่ 16 สวัสดีฝ่าบาท  

ตอนที่ 17 ฮ่องเต้กลัวยา  

ตอนที่ 18 การคุกคามของฮ่องเต้   

ตอนที่ 19 ทำให้ฮ่องเต้ก่อไฟ  

ตอนที่ 20 ฮองเฮาทุกข์ทรมานจากความไม่พอใจ 

ตอนที่ 21 เจ้ายังคงโทษว่าเป็นความผิดของเจิ้น  

ตอนที่ 22 เหตุใดท่านถึงได้ดุร้ายเช่นนี้

ตอนที่ 23 ฮ่องเต้เป็นเกย์  

ตอนที่ 24 ทำให้ฮ่องเต้สวมหมวกเขียว

ตอนที่ 25 เจิ้นไม่ได้ฆ่านาง  

ตอนที่ 26 ต่อสู้เพื่อความโปรดปราณ

ตอนที่ 27 ของรางวัล  

ตอนที่ 28 ความรักของฮ่องเต้   

ตอนที่ 29 ของขวัญของฮ่องเต้  

ตอนที่ 30 งานประลองยุทธ  

ตอนที่ 31 คนที่มีความหลัง

ตอนที่ 32 ไม่เหมาะสม 

ตอนที่ 33 แยกแยะไม่ออก    

ตอนที่ 34 ราวกับการเลี้ยงกระต่าย 

ตอนที่ 35 กัดลิ้นเขา  

ตอนที่ 36 พันแผลที่ลิ้น  

ตอนที่ 37 ขัดจังหวะเรื่องดีๆ  

ตอนที่ 38 อยู่ร่วมกับชายแปลกหน้า 

ตอนที่ 39 คนรักลับๆ ของฮองเฮา 

ตอนที่ 40 ยุทธวิธีอันละเอียดอ่อนของฮ่องเต้  

ตอนที่ 41 การเปลี่ยนแปลง  

ตอนที่ 42 ข้าจะไม่อุ้มท้องลูกของท่าน 

ตอนที่ 43 ต่อสู้เพื่อความโปรดปราน 

ตอนที่ 44 วิธีที่จะทำให้ฮ่องเต้โปรดปราน   

ตอนที่ 45 สวนดอกไม้  

ตอนที่ 46 ความชื่นชมของฝ่าบาท 

ตอนที่ 47 ฮองเฮาถูกใส่ร้าย  

ตอนที่ 48 ผู้ชายที่เชื่อนาง 

ตอนที่ 49 แท้งบุตร  

ตอนที่ 50 หลอกลวงฝ่าบาท

ตอนที่ 51 คำพูดของฮ่องเต้ถือเป็นคำขาด

ตอนที่ 52 ข้าจะพาเจ้าออกไป

ตอนที่ 53 ใครคือคนที่นางควรจะไว้ใจ

ตอนที่ 54 เด็กชายที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย

ตอนที 55 ความท้าทายที่ไม่ต้องการ

ตอนที่ 56 ความตื่นเต้น

ตอนที่ 57 ฮองเฮาคนที่อวดเรือนร่าง

ตอนที่ 58 ความรักก็คือความรัก

ตอนที่ 59 จูบลงโทษ

ตอนที่ 60 หัวใจที่เหนื่อยหน่าย

ตอนที่ 61 ต้องมีบางอย่าง

ตอนที่ 62 คิดมากเกินไป

ตอนที่ 63 หัวใจที่สามัคคีกัน

ตอนที่ 64 เหล้าผลไม้

ตอนที่ 65 ทำให้เจ้าสมความปรารถนา

ตอนที่ 66 ปฏิเสธที่จะสัมผัสผู้หญิง

ตอนที่ 67 เจิ้นควรจะทำอย่างไรกับเจ้าดี

 


 

 

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 8 : ท่านกินข้าจริงๆ


          ในขณะนี้ หัวของโม่ ชิงหลี่ได้ยื่นไปอยู่ตรงไหล่ทางด้านซ้ายของเฟิง เฉิงหลิงแล้ว เขี้ยวทั้งสองข้างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของเจียงซือเช่นนาง กัดลงไปบนลำคอขาวอย่างดุร้ายด้วยความกระหาย  นางดูดเลือดของ เฟิง เฉิงหลิงอย่างตะกละตะกลาม นอกจากนี้  เลือดที่นางกำลังดูดมันไหลออกมารวดเร็วจนนางไม่สามารถที่จะดูดมันลงไปได้ทั้งหมด ทำให้มีบางส่วนไหลลงไปตามลำคอผุดผ่องของ เฟิง เฉิงหลิง

            หลังจากได้รับสารอาหารจากเลือดอย่างเต็มที่ สติของโม่ ชิงหลี่ค่อยๆ กลับคืนมา เวลาผ่านไปเล็กน้อย พลังของนางก็ได้ฟื้นคืนกลับมาเรื่อยๆ  จะอย่างไรก็ตาม โม่ ชิงหลี่ไม่ได้ปล่อยลำคอขาวของเฟิง เฉิงหลิงให้เป็นอิสระหลังจากที่ได้พลังและร่างกายของนางเริ่มดีขึ้นแล้ว ด้วยเลือดของเฟิง เฉิงหลิสำหรับนางแล้วมันช่างหอมหวานยิ่งนัก ในเวลากว่าหนึ่งร้อยปีของ โม่ ชิงหลี่ นางไม่เคยได้ดูดเลือดที่บริสุทธิ์เช่นนี้มากก่อน

            ในที่สุดโม่ ชิงหลี่ก็ยอมปล่อยให้ลำคอขาวของเฟิง เฉิงหลิงเป็นอิสระ และเวลาก็ได้ล่วงเลยมาเป็นชั่วยามแล้ว

            ในลักษณะท่าทางที่ดูจะพอใจเป็นอย่างมากของนาง โม่ ชิงหลี่ใช้ นางลิ้นน้อยๆ เลียไปที่เลือดส่วนที่เหลือที่มันติดอยู่ตรงมุมปากงามอย่างแสนเสียดาย  นางค่อยๆ ว่างร่างที่ขาวซีดของ เฟิง เฉิงหลิงลงไปบนที่นอนนุ่มตรงหน้า ก่อนจะตรวจดูสภาพในตอนนี้ของ เฟิง เฉิงหลิง อย่างละเอียด ทุกอย่างไม่น่าเป็นห่วง เพียงแค่สภาพร่างกายในตอนนี้ของเขานั้นเสียเลือดไปมากก็เท่านั้น

            ตอนนี้โม่ ชิงหลี่ กำลังรับรู้ได้ถึงพลังของนางที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่คาดคิด ก่อนจะมองไปที่ร่างของ เฟิง เฉิงหลิงที่นอนอยู่บนที่นอนในตอนนี้ อย่างครุ่นคิด

            กว่าที่เฟิง เฉิงหลิงจะฟื้นตัวจากการหมดสติของเขานั้น ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่ไร้เรียวแรง เฟิง เฉิงหลิงมีท่าทางอิหลักอิเหลื่อในการเคลื่อนย้ายร่างกายของเขาในตอนนี้

            “ฟื้นแล้วหรือ”

            น้ำเสียงที่ดังแตกต่างออกไปจากความรู้สึกของเฟิง เมิงหลิง ได้เรียกสติของเขาให้เข้าทีเข้าท่า แต่มันกลับยากลำบากเหลือเกิน ที่จะขยับร่างกายของที่ไร้เรียวแรงนี้ได้ เฟิง เฉิงหลิง พาร่างของเขาขยับขึ้นนั่งให้แผ่นหลังผิงกับด้านบนของเตียงนอน ก่อนจะมองตรงไปที่ โม่ ชิงหลี่อย่างหวาดกลัว

            โม่ ชิงหลี่มองไปที่หน้าตาอันซีดเซียวของเฟิง เฉิงหลิง ที่กำลังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อนาง มุมปากของนางกระตุกขึ้น มันเป็นการแสดงออกที่ถูกต้องแล้ว

            “หยูเหยา”

            ประตูถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา พร้อมกับร่างของหยูเหยาที่ปรากฏขึ้น

            “เพคะองค์หญิง ท่านต้องการสิ่งใดเพคะ”

            “ให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารที่ช่วยเพิ่มเลือด และนำมาให้ข้าที่นี่โดยเร็วที่สุด”  ในตอนนี้ เฟิง เฉิงหลิง คือแหล่งอาหารของนาง ร่างกายของเขาจะต้องได้รับการบำรุงอย่างถูกต้อง เช่นนี้แล้ว แหล่งอาหารของนางจะได้มีเลือดแบบไม่จำกัด ในยามที่นางต้องการ

            “เพคะ”

            หยูเหยาเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่ แต่ก่อนที่นางจะเดินพ้นประตูห้องไป สายตาของนางบังเอิญมองไปเห็นผู้ที่คลายผู้ป่วยอยู่ในตอนนี้ เฟิง เฉิงหลิง เขาตอนนี้ดูราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังตกใจกลัวต่อหมาป่า ศีรษะของเขามุดลึกลงไปที่หัวเข่าที่งอขึ้นของเขา จากสิ่งที่เห็น มันช่วยไม่ได้ที่นางต้องถอยหายใจออกมา ความปรารถนาขององค์หญิงก็ยังคงเป็นเช่นเมื่อก่อน มันเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตื่นตระหนกในการกระทำเช่นนี้ของนาง เพียงแค่มองไปที่หัวไหล่ที่สั่นเทาของที่ปรึกษาสี่ ก็สามารถจะบอกได้แล้ว ว่าที่เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาจะต้องเจ็บปวดทรมานนับครั้งไม่ถ้วนอย่างแน่นอน

            โม่ ชิงหลี่นั่งลงที่เตียง มองไปที่เฟิง เฉิงหลิง ผู้ที่หลบไปนั่งซุกอยู่ที่มุมเตียงในตอนนี้ นิ้วมืองามยื่นไปแตะเบาๆ ลงบนลำคอขาวของเฟิง เฉิงหลิง ตรงร่องรอยที่นางทิ้งเอาไว้ บริเวณที่นางกัดไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้มากนัก มันจางแทบจะมองไม่เห็น มันคือการลบร่องรองที่น่าอัศจรรย์ของเจียงซือ แต่หากจะกล่าวตามความจริงแล้วมันไม่ได้หายไปไหนเลย

            “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง”
            เฟิง เฉิงหลิง ในขณะที่ โม่ ชิงหลี่ยื่นมือน้อยๆ ของนางมาแตะที่ลำคอของเขา เขาขยับร่างกายที่ไร้เรียวแรงของเขาด้วยความตกใจ ดวงตาของเขาหลีตาลงเล็กน้อย เขาจองมองไปที่ใบหน้าของ โม่ ชิงหลี่ที่อยู่ไม่ไกลจากร่างของเขานัก สำหรับเขาแล้ว นางไม่ได้มีเสน่ห์และคุณสมบัติของความงามที่เป็นเลิศ หรือก็ไม่ได้มีร่างกายที่ยั่วยวนเป็นที่สุด แต่หากสิ่งที่นางมีคือการแสดงออกที่เย็นชา แม้ทะเลและภูเขาจะถล่มลงมาต่อหน้าของนาง ใบหน้านี้ก็คงจะไม่เปลี่ยนไป และท่าทางที่ไม่แยแสของนางก็ยังจะคงอยู่เช่นกัน

            ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยยังคงอยู่ตรงบริเวณลำคอของเขา นาง.. นางกัดเขาหรือ เฟิง เฉิงหลิงยังคงมีสามารถจดจำยามเลือดภายในกายเขาได้ถูกดูดออกไปอย่างหิวโหย พร้อมกับบางส่วนที่ไหลลงมาตามลำคอของเขา ในตอนนี้ เขามั่นใจว่านางได้ดูดเลือดของเขาไปจริงๆ มันทำให้เขารู้สึกสับสนงงงวยเป็นอย่างมาก ผ่านไปซักครู่ เขาถึงได้หาคำพูดของเขาเจอ

            “ข้า.....ข้าไม่รู้”

            “ฮึ...”  โม่ ชิงหลี่หัวเราะเบาๆ นางมองตรงไปที่ เฟิง เฉิงหลิง เขาช่างสมบูรณ์งดงามเสียจริง ภายในดวงตาสดใสของเขาคือคำบอกใบ้ของความขี้ขลาด มันทำให้เป็นเรื่องยากยามได้เห็นสายตาเช่นนี้ มันกระตุ้นอารมณ์ทำให้ผู้คนต้องการที่จะรังแกเขาอย่างช่วยไม่ได้

            ต้องเผชิญหน้ากับความงดงามของคนตรงหน้า นางไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้ นางยื่นมืองามตรงไปสัมผัสกับแก้มเนียมของ เฟิง เฉิงหลิง ก่อนจะพูดน้ำเสียงทีเล่นทีจริงออกไป

            “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ การเป็นคนโปรด มันไม่ได้เลวร้ายเสมอไป”

            สิ้นสุดคำพูดนาง โม่ ชิงหลี่นางดึงผ้าคลุมที่อยู่ตรงหน้าอกของ เฟิง เฉิงหลี่ออกทันที ก่อนจะผลักเขาลงไปที่เตียงของนาง

เย็นๆ จะลงต่อให้อีกบทค่ะ

ขอบคุณทุกกำลังใจ และทุกคอมเม้นท์ค่ะ  

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 7 : ข้าจะกินเจ้า ..ข้าก็พร้อมแล้ว


          เฟิง เฉิงหลิง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หากแต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ความมืดมิดอีกต่อไป แต่มันคือแสงสว่างที่เขาเรียกร้องที่จะเห็นมันมาเนินนาน มันทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วตกลงคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วดวงตาคู่นี้ของเขามันกลับมาได้อย่างไร เขายังจำมันได้เป็นอย่างดีว่าดวงตาคู่นี้ได้ถูกควักออกไปโดย โม่ ชิงหลี่ แล้ว ในชีวิตนี้ เฟิง เฉิงหลิง ไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

            ใครจะไปคาดคิด ว่าจะมีวันหนึ่งที่แสงสว่างจะหวนกลับมาในชีวิตเขาอีกครั้ง

            เฟิง เฉิงหลิงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ เขาค่อยๆ หันหน้าไป พร้อมกับเห็นโม่ ชิงหลี่ที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ เขาในเวลานี้ ใบหน้าที่เคยผุดผ่องงดงาม เต็มไปด้วยสีเลือดอ่อนๆ ทั่วหน้า แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นซีดจัด แทบจะมองไม่ออกว่ามันมีเลือดอยู่ข้างใน

            สายตาของเฟิง เฉิงหลิง ยามที่มองไปที่โม่ ชิงหลี่ มันแวบผ่านร่องรอยของความเกลียดชังเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ว่านางจะทำเรื่องอย่างว่า หลังจากที่ทำให้เขาหมดสติไปแล้วหรอกหรือ   (ผู้แปล say: เฟิงเฉิง ชอบคิดไปเองตล๊อดตลอด หนูโม่ เขาเห็นตัวเป็นแค่อาหารหรอกยะ อิอิ )  

            ฮา ฮา....เขาหัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยาม เฟิง เฉิงหลิงเลิกผ้าห่มผืนบางที่คลุมร่างกายของเขาเอาไว้ออกไป ก่อนจะมองสำรวจไปทั่วร่าง เฟิง เฉิงหลิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพียงแค่คืนเดียว ร่างกายที่เคยมีร่องรอยของความรุนแรงเต็มไปหมดของเขา แต่ในตอนนี้มันกลับไม่มีร่องรอยใดๆ หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

            เฟิง เฉิงหลิงมองไปยัง โม่ ชิงหลีด้วยความครุ่นคิด หรือว่าจะเป็นนาง เฟิง เฉิงหลิงตอนนี้ในหัวของเขามันเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม ต้องเป็นนางอย่างแน่นอนที่ช่วยเขาไว้ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่นางจะมีความสามารถที่ลึกลับเช่นนั้นได้

            ทุกคนในดินแดนแห่งนี้ต่างรู้ดีว่าองค์หญิงหกนั้น ช่างโง่เขลา ไร้ความสามารถ เป็นองค์หญิงที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขาในเวลานี้ จะอธิบายมันอย่างไร ดวงตาของเขา ร่อยรองของบาดแผลตามร่างกายนี้ เพียงในค่ำคืนเดียวทุกอย่างที่เลวร้ายได้หายไปจนหมด

            “เลือด....เลือด..”

            คำพึมพำที่แสนเบาได้ดึงสติของ เฟิง เฉิงหลิงกลับมา เขาขยับเข้าไปใกล้คนที่นอนอยู่ข้างๆ มากขึ้น เขาแตะเบาๆ ไปที่ไหล่บอบบางและมันดูอ่อนแอมากในเวลานี้ ในตอนนี้สายตาของเขาไม่ลงเหลือความเกลียดชังที่เคยมีมาในอดีตแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม การสัมผัสที่แผ่วเบาเมื่อครู่ของ เฟิง เฉิงหลิงมันทำให้หัวใจของกระเพื่อมเล็กน้อย

            “โม่ ชิงหลี่ เจ้าพูดสิ่งใดกัน”

            โม่ ชิงหลี่ที่ต้องการช่วยลบร่องรอยแห่งความรุนแรงบนร่างของ เฟิง เฉิงหลิง นางต้องใช้พลังไปหลายส่วน หลังจากนั้น การที่นางต้องช่วยทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของ เฟิง เฉิงหลิงสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง นางจึงต้องใช้พลังทั้งหมดในร่างกายจนไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ในตอนนี้

            ที่มากไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่นางได้เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างขององค์หญิงหกผู้นี้ โม่ ชิงหลี่สัมผัสได้ถึงพลังของนางที่มันเหมือนจะถูกจำกัดเอาไว้ และนางก็ไม่สามารถที่จะใช้มันได้อย่างที่ใจปรารถนาอย่างที่เคยเป็นมา ถ้าเป็นตัวนางเมื่อก่อน  สำหรับการรักษาบาดแผลเช่นนี้ มันจะไม่เกิดผลใดๆ ต่อร่างกายนางแม้แต่น้อย

            โม่ ชิงหลี่ในตอนนี้ นางเพียงรู้สึกว่านางนั้นหิว หิวมาก นางต้องการอาหาร เพื่อร่างกายของนางและเพื่อเพิ่มพลังของนางเอง ยิ่งไปกว่านั้น อาหารของนางในเวลากว่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานั้นต่างมีเพียงอย่างเดียว นั้นก็คือเลือดสดๆ แม้ว่านางไม่จําเป็นจะต้องดื่มเลือดของมนุษย์ แต่ยิ่งมันเป็นเลือดที่บริสุทธิ์นางก็ยิ่งชอบมัน และกลิ่นที่หอมหวานที่มันออกมาจากร่างกายของ เฟิง เฉิงหลิง นั้นยิ่งทำให้นางชื้นชอบเข้าไปใหญ่

            และที่มากไปกว่านั้นในตอนนี้ สิ่งที่นางชื้นชอบมันกลับอยู่ใกล้แค่เอื้อม

            “ข้า...ข้าต้องการเลือด”

            หลังจากจบประโยค โม่ ชิงหลี่ ยื่นมือน้อยทั้งสองข้างของนางโอบกอดไปที่ลำคอขาวของเฟิง เฉิงหลิง ในชั่วขณะที่ไม่ทันระมัดระวัง เฟิง เฉิงหลิงก็ถูกดึงให้เข้ามาแนบชิดกับร่างกายงามของโม่ ชิงหลี่เสียแล้ว หน้าอกของนางที่มีความนุ่มละมุนที่เป็นเอกลักษณ์ของเพศหญิง ชนเข้ากับแผ่นอกหนาของเขา ทำให้ใบหน้าเฟิง เฉิงหลิงแดงขึ้นโดยอัตโนมัติ กล่าวไว้ว่าในตอนเช้ามืดเช่นนี้ คนเรามักจะมีความต้องการในเรื่องอย่างว่าสูง ในตอนนี้ดวงตาของนางยังไม่ทันจะเปิดออก นางกลับไม่มีความอดทนแม้แต่น้อยต่อร่างกายของเขา

            ใบหน้าของเฟิง เฉิงหลิงตอนนี้มันมีทั้งความสับสน ความคาดหวัง บวกกับความกลัวเล็กน้อย จะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เฟิง เฉิงหลิง ได้โน้มตัวของเขาลงไปบนตัวของ โม่ ชิงหลีแล้ว และรออย่างสงบนิ่ง

              “ เสียงฟู่”  ดังขึ้น เฟิง เฉิงหลิงร้องขึ้นเสียงเบาด้วยความไม่พอใจ ในสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาจิตนาการเอาเลยแม้แต่น้อย เขารับรู้ได้เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บที่คอเหมือนโดนตัวอะไรกัดเข้าให้ เฟิง เฉิงหลิงขบริมฝีปาก กลืนกินเสียงร้องของความเจ็บปวดลงไปในท้องเช่นเดิม ความเจ็บปวดนี้ สำหรับ เฟิง เฉิงหลิง ผู้ผ่านความทรมารมาอย่างมากมายแล้ว ความเจ็บปวกนี้มันก็ไม่จากอะไรจากการโดนเข็มทิ่มตำเท่านั้น 

รู้สึกว่าเฟิงเฉิงจะน่ารักไปนะ อิอิ

ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ และคอมเม้นท์

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 6 : ท่านจะทำอะไรข้า


          เฟิง เฉิงหลิงสลัดมือน้อยออกอย่างแรง เฟิง เฉิงหลิงถอยหลังออกไปหลายก้าว เขาหันหลังและเตรียมจะออกวิ่งตรงยังไปประตูทางเข้าที่เขาพึงจะผ่านเข้ามาด้านในได้ไม่นานโดยอาศัยสายลมนำทาง ก่อนจะล้มพับลงด้วยสายตาที่มองไม่เห็น

             เฟิง เฉิงหลิงอยู่ๆ เขาก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเพียงแต่ในตอนนี้จะมีหน้าผาลึกอยู่เบื้องหลังเขา มันจะเป็นเรื่องที่ดีสักเพียงใด เขาจะได้ไม่ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และประสบกับความอัปยศเช่นนี้

            ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟิง เฉิงหลิงกลับไม่รู้สึกถึงสายลมที่หนาวเย็นจากประตูด้านนอก ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นแทน

            “เจ้าไม่รักตัวเองถึงขนาดนี้เชียวหรือ” เหนือศีรษะของเขาตอนนี้กลับมีเสียงที่ฟังดูราวกับมันเต็มไปด้วยความโกรธแทบไม่แยกไม่ออก  โดยอัตโนมัติ เฟิง เฉิงหลิงมองไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยินขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขามันกลับไม่มีสิ่งอื่นใดนอกไปจากความมืดมิด และความว่างเปล่าอย่างเช่นเคย

            เฟิง เฉิงหลิงก้มลงไปที่พื้นใช้มือของเขาแทนดวงตา พยายามพาตัวเองออกจากอ้อมกอดของ โม่ ชิงหลี่อย่างอยากลำบาก น้ำเสียงที่ดังขึ้นไม่ไกลนัก

            “การคงอยู่ของข้า มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน”

            โม่ ชิงหลี่เห็นการแสดงออกเช่นนี้ของ เฟิง เฉิงหลิง นางถึงกับต้องถอยหายใจเข้าลึกๆ ถึงแม้เฟิง เฉิงหลิง จะต่อสู้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดเจียงซือ อย่างนางได้ โม่ ชิงหลี่แบกเฟิง เฉิงหลิงตรงไปที่เตียงนอน ก่อนจะโยนเขาลงไปบนที่นอนนุ่มของนางทันที ก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงดุร้าย

            “ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก”  พวกคนประเภทนี้ พวกเขาช่างไม่เข้าใจอะไรเอาง่ายๆ เสียเลย ฮึ่ม.. มันเด่นชัดที่สุดว่านางเป็นห่วงเขา แต่เขากลับเอาแต่พูดคำเดิมๆ

            “ท่านและข้าต่างก็ไม่สนิทชิดเชื้อ”

            โดยสภาพเช่นนี้ เขาช่างไม่มีความกตัญญูเอาเสียเลย สำหรับคนประเทภนี้ คงจะไม่มีใครดีสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
            เพราะถูกโยนลงไปที่เตียงของ โม่ ชิงหลี่ อย่างแรง แผ่นหลังของเขาเริ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเรื่อยๆ เฟิง เฉิงหลี่ขบริมฝีปากล่าง พร้อมกับหัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย เขาตอนนี้ได้คิดไปแล้วว่าโม่ ชิงหลี่กำลังมีความสงสารต่อเขาขึ้นอย่างแน่นอน แต่มัน...แต่มันกลับกลายว่าเป็นเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว

            เพราะตอนนี้โม่ ชิงหลี่ได้มายืนอยู่ข้างเตียงนอนของนาง มองไปที่เฟิง เฉิงหลิงที่กำลังถอดเสื้อผ้าของเขาออกที่ละชิ้นๆ หากแต่ดวงตากลับเย็นชาและเต็มไปด้วยความโกรธที่มากขึ้นเรื่อยๆ นางมองดูผิวของชายตรงหน้าที่ควรจะสวยงามสมบูรณ์ผุดผ่อง แต่มันกลับเต็มไปด้วยเครื่องหมายที่ดูน่าตกใจเต็มไปหมด  ในบางพื้นที่ก็มีส่วนที่แผลเริ่มจะเน่าแล้ว

            “ใครทำเจ้า”

           เสียงเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธจนแทบจะทนไม่ได้ดังขึ้น มันเหมือนกับน้ำเสียงของมนุษย์ที่มีความวิกลจริตไปเสียแล้ว โม่ ชิงหลี่สังเหตุรูปร่างหน้าตาของเฟิง เฉิงหลิง คนตรงหน้านางก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มทั่วไป และยังคงมีความเป็นเด็กอยู่มาก แต่ในเวลานี้ที่แน่ๆ มีใครบางคนได้ใช้ความรุนแรงกับร่างกายของเขาอย่างน่าสังเวช

            เฟิง เฉิงหลิงหัวเราะออกมาอย่างบ้าครั่งอีกครั้ง

            “ใครหรือ ฮา ฮา ฮา โม่ ชิงหลี่ ท่านไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ หรือจะเป็นเพราะหากท่านไม่ได้เปิดดูบาดแผลของข้า ท่านจะไม่มีความสุข”

            โม่ ชิงหลี่ ก้มลงไปที่เตียงนางขยับใกล้เข้าไปอีก ก่อนจะเกิดสายลมลมเบาๆ ไปกระทบกับใบหูของเฟิง เฉิงหลิง มือของเธอสัมผัสผิวขาวและผุดผ่องบริเวณลำคอของเฟิง เฉิงหลิง บริเวณที่นางสามารถได้กลิ่นหอมหวานออกมาจากแหล่งอาหารของนาง โม่ ชิงหลี่หลีตางคู่งามของนางลง กลืนน้ำลายอย่างอยากลำบาก แต่ว่าตอนนี้ นางมีสิ่งที่จะต้องทำ ที่มันสำคัญมากกว่าเรื่องกินของนางมากนัก

            “เจ้าคงไม่รู้ ข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องแสร้งทำ เช่นมนุษย์อย่างพวกเจ้า”

            เฟิง เฉิงหลิงรับรู้ได้ถึงกลิ่นชื้นร้อนอยู่ข้างๆ แก้มของเขา แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการตอบโต้ใดๆ ออกมา เพียงรู้สึกว่าตรงลำคอของเขามันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วไม่นานเขาก็จมเข้าสู่ความมืดมิดโดยไม่รู้ตัว

            ด้วยการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล โม่ ชิงหลี่จัดแจงร่างกายของคนที่พึ่งจะหมดสติไปให้เข้าทีเข้าทาง โม่ ชิงหลี่หลับตาคู่งามลง ภายใต้ฝ่ามืองามมีลูกบอลแสงสีทองสว่างไสวปรากฏออกมา  นางค่อยๆ ลูบไล้ผ่านเครื่องหมายเหล่านั้นบนร่างกายของเฟิง เฉิงหลิง ผ่านไปไม่นาน ผิวขาวผุดผ่องก็กลับคืนสู่สภาพเดิมของมันอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก

            หลังจากเวลาเนินนานผ่านไป โม่ ชิงหลี่ถอยฝ่ามืองานของนางออก ใบหน้าที่สะอาดงดงามตอนนี้ตรงหน้าผากของนางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับนาง ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ นางเพียงแค่ใช้พลังส่วนน้อยเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้ร่างกายของนางยังรู้สึกอ่อนเพลียอีกด้วย หรือจะเป็นเพราะว่าตอนนี้นางติดอยู่กับร่างกายของมนุษย์ธรรมดาผู้นี้ โม่ ชิงหลี่รู้สึกสบสนอย่างบอกไม่ถูก

            นางหันหน้ามองไปที่เฟิง เฉิงหลิง มองเห็นดวงตาที่เป็นหลุมลึกตรงหน้า นางต้องถอยหายใจอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ เพียงเพื่อที่จะให้ข้ามาแก้ไขกับสิ่งที่โม่ ชิงหลี่คนก่อนได้ก่อเอาไว้ หรือนี้จะเป็นบททดสอบจากองค์เง็กเซียนฮ่องเต้

            โม่ ชิงหลี่ช่วยประคองร่างของเฟิง เฉิงหลิงให้นั่งตรงข้ามกับนาง ในท่าขัดสมาธิ แสงสีทองหลั่งไหลออกมาจากร่างของโม่ ชิงหลี่ ก่อนจะค่อยๆ ครอบคลุมไปทั่วร่างของนางและเฟิง เฉิงหลิง มันเกิดเป็นแสงสว่างไสวออกไปทั่วบริเวณ สายลมที่เกิดจากพลังของแสงสีทองทำให้ผมดำดกของคนทั้งสองพลิ้วไหวไปมา กระจายตัวออกไปอย่างเป็นอิสระ

            โม่ ชิงหลีค่อยๆ หลับตาลง พร้อมกับยื่นมือของนางไปแตะที่หน้าอกของเฟิง เฉิงหลิง รวบรวมพลังให้ไปอยู่ที่ฝ่ามือน้อย ก่อนจะค่อยๆ ไล้พลังไปยังร่างของชายตรงหน้า

ขอบคุณทุกกำใจและคอมเม้นท์ค่ะ

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 5 : คนขอข้า ใครก็ห้ามแตะ

 
          หยูเหยามองตรงไปที่โม่ชิงหลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความงงงวย เฟิง เฉิงหลิงก็แสดงอาการออกมาไม่การกัน มันไม่ใช่เพราะองค์หญิงหกเองหรอกหรือ ที่เป็นคนทำให้เกิดเรื่องที่โหดร้ายเช่นนี้กับเขา หากแต่หยูเหยากลับมองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธที่มันปรากฏออกของจากดวงตาของโม่ ชิงหลี่ ก่อนที่นางจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

            “ คือว่า....คือว่าองค์หญิงองค์โตเพคะ”

            องค์หญิงองค์โต โม่ ฉิ่งอวี๋ นั่นเอง สำหรับโม่ ฉิ่งอวี๋คนนี้แล้ว โม่ ชิงหลี่ยังพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับนางอยู่ในร่างนี้บ้าง นางคือธิดาที่องค์จักรพรรดินีโปรดปรานเป็นที่สุด และจากการพิจารณาของเหล่าขุนนางเป็นส่วนใหญ่แล้ว มีแนวโน้มว่าองค์หญิง โม่ ฉิ่งอวี๋คนนี้จะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์องค์ต่อไป

            เฟิง เฉิงหลิงที่สามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นที่มีอยู่รอบตัวของโม่ ชิงหลี่ในเวลนี้ เขานั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูกได้แต่ชงักงั้นอยู่กับที่ไร้ซึ้งคำพูดใดๆ เพียงไม่นานเมื่อสติของเขากลับมา เขาก็หัวเราะขึ้นเสียงดังราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง
            “ฮา ฮา ฮา ...ฮา ฮา ฮา ..โม่ ชิงหลี่ ฮึ่ม..โม่ ชิงหลี่ ด้วยสายตาที่มืดบอดของข้า มันทำให้ข้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ การเล่นบทละครต่อหน้าข้าเช่นนี้ มันจะทำให้เจ้าได้อะไรกลับไป หากเจ้าทำเพื่อที่จะเยาะเย้ยข้า เช่นนั้น ข้าต้องของแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าทำมันได้สำเร็จแล้ว”

            โม่ ชิงหลี่มองตรงไปที่ เฟิง เฉิงหลิง ที่กำลังหัวเราะราวกับคนเสียสติจนร่างการสั่นเทาแทบจะยืนไม่อยู่ ภายในใจของโม่ ชิงหลี่ที่จองมอง เฟิง เฉิงหลิงด้วยสายตาเป็นประกายลึกซึ้งด้วยความกระหายเลือด มือน้อยของนางกำแน่นทั้งสองข้าง ด้วยความอดกลั้น คนของข้า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจมารังแกได้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม สายลมเบาๆ กระจายออกมาจากร่างของโม่ ชิงหลี่ ทำให้แขนเสื้อของนาวพลิ้วไหว ก่อนที่ร่างงามจะหันเตรียมตัวเดินจากไป พร้อมกับทิ้งคำพูดเอาไว้

            “คือนี้ นำเฟิง เฉิงหลิง มาพบข้า” น้ำเสียงที่ดังชัดเจนเต็มไปด้วยร่อยรอยของความโกรธดังขึ้น

            หยูเหยามองตรงไปที่ เฟิง เฉิงหลิง คนที่แม้ว่าตอนนี้จะล้มลงไปที่พื้นแล้วก็ยังคงหัวเราะอย่างบ้าครั่ง นางแทบจะไม่สามารถมองมันได้อีก หยูเหยาเดินตรงไปด้านหน้าของ เฟิง เฉิงหลิง ก่อนจะนั่งลงต่อหน้าเขา พร้อมกับพูดอย่างปลอบใจ

            “ที่ปรึกษาสี่ จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ บางที บางทีองค์หญิง นางอาจจะพูดออกมาจากใจจริงก็เป็นได้ บางทีองค์หญิงอาจจะอยากให้ท่านได้ระบายความโกรธเคืองออกมาบ้าง” จริงๆ แล้ว ตอนที่องค์หญิงได้พูดคำพูดเหล่านั้นออกมา นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อ จะอย่างไรก็ตาม อดีตองค์หญิงหก ผู้ที่อ่อนแอและขี้ขลาด ทุกอย่างที่ออกมาจากคำพูดของนางไม่ได้มีผลกระทบหรือสำคัญในพระราชวังแห่งนี้เลย มันเหมือนกับว่านางนั้นไร้ตัวตนไปแล้ว  สำหรับ หยูเหยานางคิดว่ามันอยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าองค์หญิงหกจะช่วยเหลือคนที่พึ่งจะพิการอย่างเฟิง เฉิงหลิงแก้แค้น และจะยอมเป็นศัตรูกับองค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋

            หยูเหยามองดวงตาทั้งสองข้างที่เป็นหลุมลึกของเฟิง เฉิงหลิง ที่ยังคงหัวเราะอยู่เช่นเดิม หยูเหยาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวออกไป

            “คืนนี้ ข้าจะให้คนมานำทางท่าน”

            เสียงหัวเราะของเฟิง เฉิงหลิงหยุดไปชั่วขณะ เฉิงหลิงขบริมฝีปากล่างของเขา ไหล่ทั้งสองข้างสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้

 “โม่ ชิงหลี่ เจ้าเคยทรมานข้าจนเกือบตาย เจ้ายังคงจะไม่ยอมหยุดใช่หรือไม่”

“องค์หญิงเพคะ เฟิง เฉิงหลิงมาถึงแล้วเพคะ” เสียงบ่าวรับใช้ด้านนอกดังขึ้น

“ให้เข้ามา”

            โม่ ชิงหลี่ว่างหนังสือในมือของนางลง มือข้างหนึ่งท้าวคางมลในท่าสบายๆ หัวคิ้วน้อยของนางยกขึ้น ก่อนจะมองไปที่ เฟิง เฉิงหลิงที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาแต่งตัวด้วยชุดสีดำดูเรียบง่าย ยืนอยู่ในท่าทางที่ผ่าเผย และสง่างาม แม้จะไร้ซึ้งดวงตา แต่ความสง่าของเขาก็หาได้ลดลงไปไม่

            “องค์หญิง” น้ำเสียงที่ไม่แสแยและเย็นชาดังขึ้น ทำให้โม่ ชิงหลี่กลับมาอยู่ในโลกของปัจจุบัน

            โม่ ชิงหลี่หัวเราะอย่างดูถูกตัวเอง องค์หญิงผู้นี้ช่างน่าผิดหวังเสียจริง
ใครจะไปคิดว่าผู้ที่มีพลังมหาศาลอย่างเจียงซือ ผู้มีอายุเกือบจะหนึ่งร้อยปี จะโดนดูถูกจากมนุษย์ธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง ถึงแม้จะได้รับการดูถูกจากคนตรงหน้า โม่ ชิงหลี่ก็ยังสงบท่าทางอย่างอดทน หากแต่ความรู้สึกเช่นนี้ที่นางพึ่งจะได้รับจากคนตรงหน้า มันเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจเอาเสียเลย

            โม่ ชิงหลี่เดินตรงไปอยู่ข้างๆ เฟิง เฉิงหลิง ก่อนจะยื่นมืองานไปจับมือใหญ่หนาของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

            “ข้าขอโทษ” คำพูดประโยคนี้ เป็นประโยคที่นางพูดออกมาจากใจจริง

            โม่ ชิงหลี่พึ่งจะนึกได้ทีหลัง ว่าความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตาของเขาก็คงจะไม่บอดเช่นนี้ ความผิดจริงๆ ก็ล้วนเกิดขึ้นจากนางทั้งนั้น

            เฟิง เฉิงหลิงแต่เดิมนั้นเป็นบุตรชายของขุนนางในวังหลวง ต่อมาเขาได้รับการยกย่องให้เป็นเสมือนผู้สูงศักดิ์ และได้รับการราชโองการให้หมั่นหมายกับโม่ ชิงหลี่ แต่ใครจะไปคิดในคืนวันวิวาห์ของพวกเขา องค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น และเกิดชอบพอในตัวของ เฟิง เฉิงหลิงเข้า ด้านองค์หญิงหกด้วยต้องการที่จะเอาใจโม่ ฉิ่งอวี๋ ผู้พี่ของนาง โม่ ชิงหลี่ยอมที่จะยก เฟิง เฉิงหลิงให้กับองค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋ในทันทีโดยไม่ต้องคิดทบทวน

            แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตเฟิง เฉิงหลิง ได้ถูกสั่งสอนไว้ว่าทุกคนจะต้องปฏิบัติตามสามคุณธรรมคำสอนของขงจื้อ ว่าด้วย จงซื่อสัตย์ต่อความตาย ในชีวิตหนึ่งควรจะมีเพียงหนึ่งภรรยา เขายังคงยืนยันว่าเขานั้นได้แต่งงานกับ โม่ ชิงหลี่แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตนแตะต้องตัวของเขา

            องค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋เมื่อเห็นว่า เฟิง เฉิงหลิงยอมตายแต่ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของนาง โม่ ฉิ่งอวี๋นั้นก็โกรธเป็นอย่างมาก นางดึงปิ่นปักผมออกมาจากด้านบนหัวของนาง แล้วนางก็แทงมันไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของ เฟิง เฉิงหลิงด้วยความเกรี้ยวกราด หลังจากนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เฟิง เฉิงหลิง ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดตามลำพัง

            หลังจากที่โม่ ชิงหลี่ ได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดของเฟิง เฉิงหลิง นอกจากนางจะไม่สั่งให้คนไปช่วยเขาแล้ว นางกลับนำเฟิง เฉิงหลิงที่อาบไปด้วยเลือดไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนที่เหน็บหนาว เฟิง เฉิงหลิงถูกขังอยู่ภายในห้องเก็บฟืนเป็นเวลาสามวัน สามคืน มีเพียงแค่เสียงของหยดน้ำเท่านั้นที่เปรียบเสมือนเพื่อนผู้เดียวของเขา

            หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เกิดติดเชื้อขึ้นอย่างหนัก มันทำให้เขาทุกข์ทรมานเกือบตายอยู่ในนั้น แล้วโม่ ชิงหลี่ ในตอนนั้น นางได้ปล่อยตัวเขาหรือไม่ นางได้มาดูแลเขาหรือไม่        
         


แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 4 : ใครทำเจ้า..


         
          ฉับพลันบทเพลงที่แสนจะไพเราะหากแต่บนไว้ด้วยเศร้าก็ดังมาเข้าหูของโม่ชิงหลี่ ทำให้นางได้นอนเพียงแค่นิดเดียว แต่ถึงอย่างไรเสียเจียงซือ อย่างนางก็ไม่จำเป็นต้องนอนนานๆ นางก็สามารถอยู่ได้ นอกจากนี้เจียงชือที่มีอายุเกือบหนึ่งร้อยปีเช่นโม่ชิงหลี่ นางแทบไม่จำเป็นจะต้องนอนเลยด้วยซ้ำ

            โม่ชิงหลี่เปิดเปลือกตาคู่งามขึ้นช้าๆ นางได้ยินเสียงร้องของบทเพลง ในสายตาของนางนั้นเห็นเป็นร่องรอยของการกระหายเลือดกระจายออกมา แม้แต่เองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

            โม่ชิงหลี่เปิดประตูห้องออกไป นางเดินตามเสียงบทเพลงออกไปเรื่อยๆ  หยูเหยายืนแอบอยู่ตรงทางเดิน แล้วก็แอบตามโม่ชิงหลี่ไปอย่างเงียบเชียบ นางเห็นองค์หญิงหกกำลังเดินตรงไปยังทิศทางที่สนกสี่อาศัยอยู่ หยูเหยาไม่สามารถที่จะหยุดความสงสัยของนางในตอนนี้เอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าองค์หญิง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ทรงแสนที่จะเกลียดชังที่ปรึกษาสี่หรอกหรือ และไม่อนุญาตให้ที่ปรึกษาสี่ร้องเพลงอีกเป็นต้นมา ขนาดเอ่ยถึงชื่อของเขานางยังมีอารมณ์ได้ แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่องค์หญิงหกได้ยินเสียงบทเพลงของที่ปรึกษาสี่ ทำไมนางถึงได้มีอาการที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ได้

             มองจากระยะไกล โม่ชิงหลี่ก็สามารถที่จะเห็นชายผู้เป็นต้นกำเนิดของบทเพลง เขาสวมใส่ชุดสีดำทั้งชุด ท่าทางสง่างาม ผมดำเงางามปกคลุ่มไปทั่วแผ่นหลังและปกปิดช่วงดวงตาของเขาไว้พอดี ภายใต้จมูกคมคือริมฝีปากบางมันกำลังโค้งขึ้น เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ และตอนนี้มันได้หายไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงเพลงที่ไพเราะนุ่มหูที่ถูกท่ายทอดออกจากสถานที่แห่งนี้เช่นกัน

            “หยูเหยา เขาคือใคร” โม่ชิงหลี่กำลังค้นหาข้อมูลต่างๆ จากความทรงจำของร่างกายที่นางมาอาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว นางพยายามรวบรวมข้อมูล ทั้งหมด ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ แต่น่าเสียดาย ความทรงจำภายในจิตใต้สำนึกของร่างกายนี้มีมากเกินไป ที่แย่ไปกว่านั้นคือในตอนนี้โม่ชิงหลี่ไม่สามารถที่จะใช้พลังที่มาจากความเป็นเจียงซือของนางได้อย่างที่นางต้องการ เพราะทุกครั้งที่นางใช้พลังวิเศษของนาง ร่างกายของนางจะอ่อนแอลง ดังนั้น หากมีทางเลือกอื่น โม่ชิงหลี่ก็ไม่อยากที่จะใช้พลังของนางอย่างบุ่มบ่ามไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น

            ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่องค์หญิงหกถาม หยูเหยาถึงกลับมองไปที่นางด้วยสายตาโง่งม มันจะเป็นไปได้หรือที่องค์หญิงหกจะจดจำที่ปรึกษาสี่ไม่ได้

            “ว่าอย่างไร” โม่ชิงหลี่เห็นการแสดงออกที่ว่างเปล่าของหยูเหยา นางยังรอคออย่างทดทน

            หยูเหยารีบตอบทันที ด้วยน้ำเสียงความเคารพนอบน้อม

            “องค์หญิง เขาคนนั้น ก็คือที่ปรึกษาสี่ เฟิง เฉิงหลิง เพคะ”

            เฟิง เฉิงหลิง......” โม่ชิงหลี่พึมพาขึ้นเบาๆ กับตัวเอง พร้อมกับลูบหน้าท้องไปมา ตอนนี้นางหิว หิวมาก โม่ชิงหลี่รีบตรงไปยังทิศทางที่เฟิง เฉิงหลิงยืนอยู่อย่างรวดเร็ว นางไม่สามารถที่จะหยุดตัวเองได้ ท้องของนางร้องเสียงดังขึ้นอย่างไม่อาย นางกลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก เหมือนคนที่ทนอดอยากมาเนินนาน “เจ้า เจ้าช่างน่ากินเสียจริง”

          เฟิง เฉิงหลิง ได้ยินเสียงผิดปกติใกล้กับบริเวณที่เขายืนอยู่ เขารู้ได้ทันทีว่ามีคนกำลังมา เขาหุบยิ้มลง หยุดการร้องเพลงของเขา พร้อมกับก้มหน้าลง ก่อนจะถามออกไป

            “นั่นใคร”  

          “ท่านผู้นี้คือองค์หยิงหก” หยูเหยายืนอยู่ข้างๆ ของโม่ชิงหลี่ แนะนำอย่างรู้หน้าที่ มองดูโม่ชิงหลี่ที่เอาแต่จองมองเฟิง เฉินหลิง ตาแทบจะไม่กระพริบ หากแต่ก็ไม่ได้เผยอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น หากแต่ภายในนางโม่ชิงหลี่นางกำลังแอบถอนหายใจ มันเหมือนกับว่าในเรื่องเกี่ยวกับความรักขององค์หญิงหกผู้นี้ พวกเขาช่างโชคร้ายยิ่งนัก เช่นเหตุการณ์ก่อนหน้า และตอนนี้ที่ปรึกษาสี่ขององค์หญิงหกผู้นี้ก็กำลังจะพบกับความหายะเช่นกัน

            ทันทีที่เฟิง เฉินหลิงได้ยินคำพูดประโยคนี้ “องค์หญิงหก” ไหล่ของเขาก็สั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้แสดงถึงความไร้มารยาทใดๆ ออกมา แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเช่นกัน

            “เฟิง เฉิงหลิง” โม่ชิงหลี่กล่าวขึ้นต่อชายที่อยู่ตรงหน้าของนางในตอนนี้ แถมยังเดินใกล้เข้าไปอีกนิด

            “เสียงบทเพลงของเจ้า ช่างไพเราะยิ่งนัก”

            เฟิง เฉิงหลิง ถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่องค์หญิงหกกล่าวต่อเขา “ เสียงบทเพลงของเจ้า ช่างไพเราะยิ่งนัก” ใบหน้าของเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มันละรีบลดลงไปเช่นเดิม นี่ก็คงจะเป็นอีกวิธี ที่นางจะมาเยาะเย้ยเขาสินะ 

            ในเสี้ยววินาทีที่เขายกใบหน้าของเขาขึ้นนั้นเอง โม่ชิงหลี่ถึงกับตะลึง บนใบหน้าดั่งเดิมที่มันดูละเอียดอ่อนและงดงาม หากตรงดวงตาที่ควรจะมีดวงตาสุกสว่างสดใส ยามเมื่อมองมันกลับเป็นหลุมสองหลุม ลึกและจมลงด้านใน เสื้อผ้าของโม่ชิงหลี่ถูกลมที่ไม่มีใครรู้ที่มาพลัดไหวราวกับคลื่นน้ำ ทั่วรางของโม่ชิงหลี่เกิดพลังงานที่น่ากลัวแพร่ออกมาทันที หากแต่การแสดงออกบนใบหน้าของนางในตอนนี้ มันมากพอที่จะเขย่าขวัญผู้คนได้มากที่สุด หยูเหยารีบก้าวไปให้ห่างจากโม่ชิงหลี่อีกสองสามก้าว เนื่องจากนางสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่แพร่ออกมาจากตัวของโม่ชิงหลี่ มันเยือกเย็นจนเข้าไปถึงกระดูกภายในของนางเลยทีเดียว

            “ผู้ใดทำเจ้า” น้ำเสียงเย็นชาที่มีร่อยรอยของความโกรธอยู่ในนั้นถามขึ้น

            เฟิง เฉิงหลีงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน

            “ท่านย่อมรู้ดี”

            “ผู้ใดทำเขา” โม่ชิงหลี่มองผ่าน เฟิง เฉิงหลิงไป นางหันกลับไปมองที่ หยูเหยาแทน ดวงตาทั้งสองของนางนั้นเต็มไปด้วยความโกรธที่แทบจะบรรยายไม่ได้

ขอบคุณทุกกำลังใจและคอมเม้นท์ค่ะ

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 3 : เชื่อฟังข้าอยู่เป็นศัตรูกับข้าตาย

 
         นางยังคงเป็นองค์หญิงหกผู้ที่ขลาด อ่อนแอ และโง่เขลา คนที่พวกเขาเคยรู้จักอยู่ใช่เหรือไม่ ไม่เพียงแต่จะประทานโทษตายให้แก่ที่ปรึกษายุนจิน ตอนนี้นางยังต้องการที่จะเป็นศัตรูกับอัครมหาเสนาบดี ก่อนหน้านี้องค์หญิงนางทั้งเคารพเทิดทูน และให้ความยำเกรงแก่อัครมหาเสนาบดีเป็นอย่างมาก ไม่กล้าที่จะละเลยแม้แต่น้อย สำหรับโอวหยาง เฉียนลั่น นั้นนางไม่เคยให้ความเคารพต่อองค์หญิงหกแม้แต่น้อย โม่ชิงหลี่ใช้นิ้วเรียวเคาะไปที่หางคิ้วงามของนางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะมองตรงไปที่โอวหยาง เฉียนลั่น ที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนางในเวลานี้ด้วยสายตาเย็นชา

            “ทำไม หรือเจ้าจะปฏิเสธ”

          โอวหยาง เฉียนลั่น ที่กำลังหมอบลงกับพื้นอยู่ในตอนนี้ นางถึงกับตกตะลึง นางกำลังหมอบกราบให้แก่องค์หญิงหกผู้นี้ ที่นางไม่เคยแม้แต่จะสนใจเอ่ยปากทักท่ายนายด้วยซ้ำ นางเหมือนจะห้ามร่างกายที่โง่งมที่สั่นเทาอยู่ในเวลานี้ไม่ได้เอาเสียเลย  

            “ข้า...ข้าผู้ต่ำต้อยผู้นี้ ไม่บังอาจ” ไหล่ทั้งสองข้างของเฉียนลั่นยังคงสั่นเทาไม่หยุด

            โม่ชิงหลี่หัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความพอใจ ก่อนจะกับมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิมอีกครั้ง

            “ถ้าเช่นนั้นก็จงไสหัวไป” 

            “เพคะ เช่นนั้นข้าผู้ต่ำต้อยขออำลา” โอวหยาง เฉียนลั่นคลานขึ้นจากพื้นด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ในชีวิตนี้ของนางไม่เคยเป็นมาก่อน โม่ชิงหลี่หันหลังเดินจากไป หากแต่คิ้วงามทั้งสองข้างของโม่ชิงหลี่กลับขมวดอย่างครุ่นคิด

            “อา...อีกอย่าง”

            ได้ยินเสียงเยือกเย็นของโม่ชิงหลี่ที่ดังมาจากข้างหลังของนาง ในตอนี้ จากจิตใต้สำนึกส่วนลึกของนาง  โอวหยาง เฉียนลั่น เริ่มหนาวสั่นจากความกลัวที่รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง นางรีบหันกลับไป พร้อมกับเข่าทั้งสองข้างคุกลงบนพื้นอีกครั้ง

            “ครั้งหน้า จงจำเอาไว้ เจ้าจงเรียกนามอันถูกต้องกฎมณเฑียรบาลแห่งองค์หญิงเช่นข้า ถ้าการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝ่าฝืนจะถูกตัดศีรษะอย่างไม่มีล่ะเว้น”

            โอวหยาง เฉียนลั่น ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านางออกมาจากตำหนักขององค์หญิงหกได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่าหลังจากที่นางเดินพ้นจากตำหนักองค์หญิงหก นางถึงกับเข่าอ่อน เกือบจะล้มลงลงไปที่พื้นตรงที่นางยืนอยู่ แต่โชคยังดีที่เหล่าบ่าวรับใช้ทีที่ยืนรออยู่ก่อนเห็นเข้า ต่างรีบวิ่งเข้ามาประคองนางด้วยความรีบร้อน

            “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ เหตุใดร่างกายท่านจึงเต็มไปด้วยเหงื่อเช่นนี้เล่า”

            โอวหยาง เฉียนลั่น ตอนนี้ในหัวของนางมีแต่คำว่า หก เต็มไปหมด นางเห็นแสงสีทองสว่างจ้าใต้แสงแดดที่ร้อนแรงสะท้อนเข้ามากระทบดวงตาของนางถึงกลับต้องหลับตาหลายครั้ง ก่อนจะรู้ว่ามันคือตำหนักที่งดงามขององค์หญิงหกนั้นเอง 

            “ข้าไม่เป็นไร รีบไปกันเถิด”

            “แล้วเรื่องขององค์หญิงนั้น......”

            ก่อนที่บ่าวรับใช้จะได้พูดให้จบประโยค ก็ถูกโอวหยาง เฉียนลั่น พูดแทรกขึ้นเสียก่อน

            “ต่อจากนี้ไป จะไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับองค์หญิงอีก ให้มันจบลงเพื่อเท่านี้”

            หน้าตาของเหล่าบ่าวรับใช้ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนงงงวย ถึงแม้ว่าโอวหยาง ยุนจิน จะเกิดเป็นเพศชาย แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงบุตรชายของท่านอัครมหาเสนาบดี และยังเป็นบุตรชายที่นายหญิงรักและทะนุถนอมเขายิ่งเสียกว่าสิ่งใด แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ ที่นายหญิงของพวกเขาจะยอมให้บุตรชายที่เป็นที่รักของนาง ตายอย่างน่าสลดเช่นนี้ แถบนางยังจะไม่ทำอะไรอีก

            โม่ชิงหลี่ในตอนนี้กำลังมองไปที่หยูเหยาด้วยสายตาเยือกเย็น ครุ่นคิดนางรู้สึกไม่ชอบใจที่จะต้องพบพาเอาอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ยามที่เห็นหน้าหยูเหยา

          “หยู เหยา”

            หยูเหยาเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรง นางคิดว่าร่างกายขององค์หญิงต้องมีความผิดปกติอย่างแน่นอน มันคงจะเย็นจนเกิดไป จนทำให้คนรอบข้างสั่นเทาเช่นนี้ได้ พวกขันทีและนางกำนัลต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

            “เพคะองค์หญิง” หยูเหยารีบขานรับทันที

            “เจ้าไม่ต้องการที่จะอยู่ข้างกายข้า” โม่ชิงหลี่เล่นกับแหวนบนนิ้วมือเรียวงานอย่างไม่ได้สนใจที่จะมองไปที่หยูเหยา ที่กำลังคุกเข่าอยู่ในเวลานี้ยามที่นางพูดแม้แต่น้อย

            หยูเหยาทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากคนตรงหน้า นางเงยหน้ามองไปที่โม่ชิงหลี่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าที่ยังคงมีแต่ความเฉยชา มันไม่ได้ปรากฏอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น

             หัวคิ้วของหยูเหยาเริ่มมีรอยย่นของความครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ น้องสาวของนางผู้มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก นางหวังว่านางจะสามารถมีอาณาจักรเป็นของตนเองได้ และในท้ายที่สุดแล้วนางจะสามารถร่วมทั้งโลกเอาไว้ด้วยกันภายใต้กำมือของนาง ด้วยเหตุนี้ หยูเหยาถึงกับยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าร่วมกองทัพ เริ่มแรกนั้น นางคิดว่านางจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ใครจะไปคิด ว่าองค์หญิงหกจะถูกใจนางเข้า สั่งให้นางมาติดตามอยู่ข้างกาย ทำทุกอย่างตั้งแต่บ่าวรับใช้จนถึงองค์รักษ์ นอกเหนือจากนี้ องค์หญิงหกเพื่อที่เอาใจองค์หญิงองค์โตทั้งหลาย นางได้ใช้อำนาจเข่นฆ่าชีวิตชายหญิงผู้บริสุทธิ์ไปอย่างมากมาย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หยูเหยาจึงได้รู้สึกเกลียดชังโม่ชิงหลี่ยิ่งนัก

            อย่างไรก็ตามในเวลานี้ องค์หญิงหกได้ถามนาง ว่านางอยากที่จะอยู่ข้างกายพระองค์หรือไม่ หยูเหยามีความลังเลเล็กน้อย นางรู้สึกว่าองค์หญิง ในตอนนี้คือภาพลวงตา มันเหมือนกับว่าคนที่ยืนอยู่ต่อหน้านางในตอนนี้ ไม่ใช่องค์หญิงหก หากแต่เป็นใครอีกคน ผู้ที่สามารถควบคุมโลกทั้งหมดไว้ภายใต้มือน้อยๆ นองนางได้อย่างง่ายดาย

            “ข้ารับใช้ผู้นี้ยินดีที่จะติดตามองค์หญิงหกเพคะ และจะคอยรับใช้ตลอดไป” หยูเหยาที่คุกเข่าของนางอยู่บนพื้น กำลังก้มหัวลงไปที่พื้นอย่างเคารพต่อคนตรงหน้า ทุกคำพูดนองนางเต็มไปด้วยความจริงจัง

            โม่ชิงหลี่หลังจากที่ได้ฟังคำพูดที่จริงจังของหยูเหยา นางกลับเกิดความประหลาดใจ จะอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หยูเหยาได้ให้คำตอบที่จริงจังกับนางแล้ว นางไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาจนเกินไป

            “ลุกขึ้น”

            หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย นี้คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน แต่จะว่าไป มันก็อาจเป็นไปได้ที่นางจะรู้สึกเช่นนี้ เพราะตอนนี้นางได้มาอาศัยอยู่ในร่างมนุษย์น้อยผู้นี้แล้ว

            “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าก็ออกก่อนไป อย่าให้ใครมารบกวนข้า” โม่ชิงหลี่ยืนอยู่ข้างเตียนนอนของนาง เตรียมตัวที่จะล้มตัวลงนอน ก่อนที่จะมองไปเห็นใบหน้าของหยูเหยาที่คล้ายว่ามีอะไรจะพูด แต่กลับลังเลไม่ยอมพูดมันออกมา มันดูสับสนงงงวย จนโม่ชิงหลี่ต้องตามขึ้น

            “หยูเหยาเจ้ามีสิ่งใดต้องการที่จะพูดกับข้า”

            ในที่สุดหยูเหยาก็เรียกความกล้าของนางกลับมา คุกเข่าลงไปที่พื้นอีกครั้ง

            “องค์หญิง คืนนี้ทรงต้องการให้ที่ปรึกษาสี่มาอุ่นเตียงหรือไม่เพคะ”

            โม่ชิงหลี่ถึงกลับมุกปากกระตุก ใบหน้าที่ไม่แยแสของนางนั้นปรากฏสีแดงอ่อนๆ ขึ้น น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอึดอัดดังขึ้น

            “คืนนี้ไม่จำเป็น ข้าเหนื่อย เจ้าออกไปเถิด”

ขอบคุณทุกกำลังใจ และคอมเม้นท์ค่ะ