ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

สียงร้องของวิหคเพลิง ที่ดังไปถึงสวรรค์เก้าชั้น (นิยายเปล)ตอนที่ 62: ถูกจับได้โอยองค์ชาย



            ณ ตอนนี้มื้อกลางวันได้เตรียมเอาไว้แล้ว ถิงเยี่ย เดินช้าๆไปที่ด้านข้างของเหยา โม่ว่าน ก่อนจะยกปุกปุยขึ้นมาจากเข่าของนางและพาไปที่ม้านั่งยาว ก่อนที่จะช่วยเหยา โม่ว่านไปที่โต๊ะ  

          "เจ้าส่งอาหารไปให้องค์ชายหรือยัง?" มันเป็นเวลาสองวันแล้ว นับจากที่นางได้พบเหย่จวินฉิง เป็นครั้งสุดท้าย นับตั้งแต่วันที่นางบอกกับเขาว่าอย่าปรากฏตัวต่อหน้านางอีกครั้ง ในขณะที่สวมชุดสีขาว

          "เรียนเหนียงเหนียง ข้าได้ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ" ถิงเยี่ยรายงานขึ้น

          "เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้ "บางครั้งเหยา โม่ว่านก็จะจำได้ถึงสิ่งที่เยียน หนานเซิง เคยพูดเอาไว้ หรือว่านางจะทำเกินไปจริงๆ?

          "เหนียงเหนียง!" ถิงเยี่ย หันหลังเพื่อที่จะจากไปแล้วก็ได้พบกับเหย่จวินฉิงที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าตำหนักในชุดสีฟ้า

          ในเวลานั้น เหยา โม่ว่าน ราวกับว่าได้พบกับเหย่จวินฉิง ในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง เสื้อผ้าสีฟ้าของเขาส่องประกายภายใต้แสงแดดและเข้ากับรูปร่างที่ดีของเขาได้อย่างงดงาม นี่เป็นสีที่เติมเต็มความยิ่งใหญ่และความภาคภูมิใจของเหย่จวินฉิง ได้ดีที่สุด ช่วงเวลาในปัจจุบันนี้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเหย่จวินฉิง เปล่งประกายของคนที่มีสุขภาพดีและความแข็งแกร่งออกมา ความหมดอาลัยตายด้านจากเมื่อก่อน ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่ที่อยู่เลย

          ถิงเยี่ยกำลังมองไปด้วยสายตาที่ตกตะลึง ก่อนจะรีบเปลี่ยนการจ้องมองของนางออกจากเหย่จวินฉิง สัญชาตญาณบอกนางว่านางไม่ควรแสดงอารมณ์อื่น ๆ ต่อชายผู้นี้ยกเว้นความเคารพเท่านั้น

          เหยา โม่ว่าน ดึงสายตาของนางกลับมาหลังจากที่ถิงเยี่ยออกไปแล้วเท่านั้น ก่อนจะเดินช้าๆไปที่โต๊ะโดยไม่พูดอะไรสักคำ

          "ข้า ... มีบางอย่างที่ต้องการถามเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถโกรธได้" แม้ว่า เหย่จวินฉิง จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเหยา โม่ว่าน ไม่สนในความจริงใจของเขา แต่เขาก็ยังเดินไปและนั่งลงข้างๆ เหยา โม่ว่านอยู่ดี

          "ลองพูดมาก่อนเพคะ" เหยา โม่ว่าน ยกตะเกียบขึ้นด้วยท่าทางสงบ เมื่อเหย่จวินฉิง เห็นว่าเหยา โม่ว่านดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆ เขาจึงคิดว่านางคงกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกประหม่ามากนัก

          "สิ่งที่เกิดขึ้นกับกุ้ยเฟย ... เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?" เหย่จวินฉิง เฝ้ามองเหยา โม่ว่าน อย่างใกล้ชิด แต่ก็เห็นเพียงจู่ๆ นางก็ว่างตะเกียบของนางลงและยกดวงตาที่กระพือของนางขึ้นมามองที่เขา

          "ท่านรู้สึกลำบากใจแทนนางหรือ?" เหยา โม่ว่าน ยกคิ้วขึ้น มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ระหว่างความมืดและแสงสว่างในดวงตาของนาง

            "อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของเจ้า นางเป็นพี่สาวของเจ้าและพวกเจ้าสามพี่น้องก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าอาจจะไม่ทำร้ายนาง! "เหย่จวินฉิง พูดซ้ำคำที่เขาเคยชักชวนให้ตัวเองเชื่อก่อนหน้านี้กับเหยา โม่ว่าน  

          "ข้าไม่ใช่คนที่ใส่สรั่ณไว้ที่นั่น" เหยา โม่ว่าน หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่นางพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ใช่มันเป็นความจริง างเคยคิดว่าพวกเขาใกล้ชิดกันมากที่สุดในฐานะพี่สาว น้องสาว แต่เหยา ซูหลาน ได้สอนนางถึงความหมายของคำว่า 'ความคิดปรารถนา' ของ 'ความไร้เดียงสาที่จินตนาการว่าความรักของคนหนึ่งจะเป็นไปในทางเดียวกัน''!

          เมื่อเหยา โม่ว่าน เห็นว่าเหย่จวินฉิง ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา นางก็พูดขึ้นอีก

          "แต่ข้าเป็นคนที่สั่งให้หยินเซี่ย เอามันไปวางไว้ที่นั่น" หลังจากที่เหยา โม่ว่านพูดจบ เหย่จวินฉิง ก็ลุกขึ้นยืนและมองนางด้วยความโกรธ

          "ทำไมเจ้าถึงต้องใส่ร้ายกุ้เฟย? นางเป็นพี่สาวของเจ้า! "เหย่จวินฉิง สามารถหาเหตุผลได้หลายพันเหตุผลที่ทำไมเหยา โม่ว่าน จะปลุกระดมความไม่ลงรอยกันระหว่างเหย่ หงอี๋ และฮว้าน เฮิ๋ง แต่เขาไม่สามารถคิดหาเหตุผลใด ๆได้ ว่าทำไมนางถึงต้องใส่ร้ายเหยา ซูหลาน เหยา โม่ซิน เคยบอกว่านางรักซูหลานน้องสาวนี้ของนางมาก

          "และท่านยังคงบอกว่าท่านไม่รู้สึกลำบากใจแทนนางอย่างนั้นหรือ?" เหยา โม่ว่าน ดูเหมือนจะไม่มีความสนใจ ในขณะที่นางหยิบปลาขึ้นมาและลองกินมันดู

          "เหยา โม่ว่าน! องค์ชายผู้นี้กำลังถามคำถามเจ้าอยู่ "เหย่จวินฉิง เกลียดทัศนคติที่ไม่จริงจังและไม่ใส่ใจของเหยา โม่ว่าน มากที่สุด

          "หยินเซี่ย มันเสียงดังมากจริงๆ " หัวคิ้วของเหยา โม่ว่านขมวดขึ้น เล็กน้อย ในขณะที่พูดขึ้นความหงุดหงิด

          "องค์ชาย เชิญ!" หยินเซี่ย ออกจากที่ใดก็ไม่รู้ในทันที ราวกับผีและปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเหย่จวินฉิง ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าที่งดงามของนางมีแต่ความเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง

          "เหยา โม่ว่าน! องค์ชายผู้นี้จะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายน้องสาวของโม่ซิน! องค์ชายผู้นี้จะตรงไปหาฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ เพื่อบอกถึงการกระทำของเจ้า! เจ้ามันเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยพิษร้าย! "เหย่จวินฉิง ได้ต่อสู้กับหยินเซี่ย มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช้คู่ต่อสู้ของนาง แทนที่จะถูกโยนออกไปมันจะดีกว่าที่จะเดินออกไปด้วยตัวเอง เพื่อที่จะรักษาศักดิ์ศรีของเขาเอาไว้

          "หยินเซี่ยไปได้!" เสียงของเหยา โม่ว่าน เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในขณะที่นางวางตะเกียบของนางลงอีกครั้ง เมื่อหยินเซี่ย จากไป นางก็ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปหาเหย่จวินฉิง โดยไม่มีอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าของนาง

          "ท่าน ... ท่านวางแผนจะทำอย่างไรหรือเพคะ?" เหย่จวินฉิง กลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยเห็นการแสดงออกอย่างจริงจังมากเช่นนี้ของเหยา โม่ว่านมาก่อน

          "ไปเลยเพคะ! ไปบอกฝ่าบาทว่านางสนมคนนี้เป็นคนวางสรั่ณเอาไว้ใต้เตียงของเหยา ซูหลาน! โม่ว่าน ไม่กล้ารับประกันเรื่องนี้กับคนอื่น แต่โม่ว่าน จะไม่หยุดท่าน ถ้าท่านต้องการจะเปิดเผยโม่ว่าน! ไปเถอะเพคะ! "เสียงที่ชัดเจนและเย็นชาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกและความไม่พอใจ คลื่นแห่งความโกรธพุ่งขึ้นมาในสายตาของเหยา โม่ว่าน และพวกมันก็เต็มไปด้วยแสงที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเหย่จวินฉิง ราวกับใบมีดคม ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย

          "เจ้า ... อย่าบังคับข้า ... " เหยา โม่ว่านก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ และทุกย่างก้าวของนาง ก็ดึงเอาความเชื่อมั่นของเหย่จวินฉิง ให้ลดน้อยลงทุกครั้ง ในขณะที่เขาก้าวถอยกลับไปจนเขาปะทะเข้ากับกำแพง อย่างไรก็ตามเหยา โม่ว่าน ยังคงไม่มีเจตนาที่จะหยุด ดังนั้นตำแหน่งของทั้งสองในตอนนี้จึงทำให้ผู้คนจินตนาการไปแสนไกล

          "ไม่ใช่ว่าองค์ชายผู้นี้บอกว่าองค์ชายผู้นี้จะไปอย่างแน่นอนเสียที่ไหน... " ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถบอกได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกกลัวสิ่งใดมากก่อน ในขณะที่อยู่ระหว่างการต่อสู้ในสนามรบ แต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าของเหยา โม่ว่าน เขาจะรู้สึกว่าร่างกายมันสั้นเล็กน้อยไปชั่วครู่ ในเวลาเดียวกันเขาจะเชื่อฟังและทำให้นางพอใจโดยจิตใต้สำนึก ความรู้สึกนั้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ บางทีเขาเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

          "แน่นอนท่านต้องไป! โม่ว่าน ต้องการเห็นความสุขและความโล่งใจของท่าน เมื่อท่านมองมาที่โม่ว่านคนที่ท่านทรยศ! "เสียงที่ชัดเจนของ เหยา โม่ว่าน เต็มไปด้วยความรังเกียจและดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยระลอกคลื่น ที่มองเห็นได้ในดวงตาของนาง ทำให้หัวใจของเหย่จวินฉิง จมดิ่งลงเล็กน้อยราวกับว่ามีบางสิ่งที่กดบนหน้าอกของเขาอยู่ ทำให้มันรู้สึกไม่สบายใจ

          "ข้าแค่ต้องการจะเตือนเจ้า ... ไม่ว่าจะอย่างไร เหยา ซูหลานก็ ... "

          "ไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายมาเตือนข้าว่านางเป็นอะไร องค์ชายคงรู้หนทางที่จะไปยังตำหนักหลวง ถ้าท่านไม่ทราบ โม่ว่านจะพาท่านไปที่นั่นเอง! "

          เหยา โม่ว่าน อยู่ใกล้กับเหย่จวินฉิง มากจนถึงจุดที่ว่าเหย่จวินฉิง สามารถนับจำนวนขนตาในแต่ละข้างของนางได้ มันถึงจุดที่เขาสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจจากริมฝีปากของเหยา โม่ว่าน เหย่จวินฉิง กลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบากและระงับความปรารถนาของเขาที่พุ่งขึ้นมาราวกับพายุให้หมดไป

          "ฮึม! ... องค์ชายผู้นี้สามารถให้โอกาสกับเจ้าได้" เหย่จวินฉิง ไล่ลำคอของเขาและพยายามที่จะก้าวถอยหลังไปอีกเล็กน้อย แต่ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาติดอยู่กับกำแพงแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยายามทำให้ร่างกายของเขาหดลงเล็กน้อย เพื่อทำให้ตำแหน่งที่เต็มไปด้วยความหมายคลุมเครือมีช่องว่าง
ขึ้น

          "องค์ชายสามารถไปพร้อมกับโม่ว่านได้ในตอนนี้ เพื่อเปิดเผยทุกอย่างเกี่ยวกับโม่ว่าน " ในขณะที่เหยา โม่ว่าน พูดนางก็เหลือบมองกลับไปที่ปุกปุย ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้นวม เมื่อนางหันกลับมาก็มีร่องรอยของความซุกซนอยู่ในสายตาของนาง "หรือว่าองค์ชายอยากจะกอดปุกปุยและพักผ่อนสักเล็กน้อยอยู่ในตำหนัก เพื่อล้างสิ่งที่อยู่ในศีรษะของท่าน องค์ชายเลือกเอาเองเพคะ! "

          "เจ้า! เจ้าพาลหาเรื่องเกินไปแล้ว! "เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหย่จวินฉิง ก็จ้องมองไปที่นางทันที

          "โม่ว่านมีความสมเหตุสมผลอยู่เสมอ ดูจากรูปลักษณ์ของมัน องค์ชายคงได้ตัดสินพระทัยไปแล้ว ไปกันเถอะเพคะ! "เหยา โม่ว่าน ขยับตัวนางออกห่างจากเหย่จวินฉิง จากนั้นก็หันกลับและมุ่งหน้าไปยังประตูตำหนัก

          นางหันกลับมาเมื่ออยู่นอกประตูตำหนักแล้วเท่านั้น เมื่อนางมองย้อนกลับไป เหย่จวินฉิง ก็ยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม หลังจากนั้นสักครู่เขาก็ตรงไปเข้าหาเก้าอี้นวมและหยิบปุกปุยขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะนั่งลง จากนั้นเขาก็มองไปที่เหยา โม่ว่าน ไม่พอใจ

          มันเป็นภาพที่งดงามและเต็มไปด้วยความอบอุ่น ผู้ชายที่ดูอ่อนโยนราวกับหยกและงดงามเหมือนท้องฟ้ากำลังมีแมวสีขาวว่างอยู่บนตักของเขา มันเป็นฉากที่กลมกลืนอย่างไม่น่าเชื่อ

          "องค์ชายคนนี้ไม่ชอบปุกปุย!" เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเหย่จวินฉิง ได้ทำลายช่วงเวลาที่กลมกลืนลง

          "เช่นนั้น ข้าก็คงจะต้องขอให้องค์ชายแยกตัวออกจากความใจแคบของเขาและเรียนรู้ที่จะรักโดยไม่มีขอบเขต" เหยา โม่ว่าน ไม่รีบร้อนและเดินออกไปจากตำหนัก คลื่นแห่งความอบอุ่นที่ไหลผ่านหัวใจของนาง ความอบอุ่นนี้เป็นเหมือนสายลมที่สดชื่นหลังจากฝนตก มันค่อย ๆ ทำลายหัวใจที่หนาวเย็นของเหยา โม่ว่านลง

          "องค์ชายผู้นี้ได้ทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว แล้วตอนนี้เจ้าจะไปที่ไหน?" เมื่อเหย่จวินฉิง เห็นว่าเหยา โม่ว่านกำลังจะจากไป เขาก็ถามอย่างประหม่าขึ้น

          อ่า! ปุกปุยเป็นแมวท้องแก่ องค์ชายไม่ควรรบกวนลูกแมวตัวน้อยในท้องของนาง "เหยา โม่ว่าน วางนิ้วข้างริมฝีปากของนาง แล้วมองไปที่ปุกปุย อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางสบายดี นางก็หันไปมองที่เหย่จวินฉิง เล็กน้อย ก่อนที่จะหันหน้าหลังและจากไป

Unruly Phoenix Xiaoyao (นิยายแปล) ตอนที่ 33 : 2 ถ้าข้าจากไปแล้วใครจะเป็นฮ่องเต้


"ยังมีคนจำนวนมากนอนอยู่บนพื้น" หนิงเสี่ยวเหยา ไม่ต้องการที่จะจากไป เธอยังไม่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาเลย แล้วเธอจะจากไปได้อย่างไร

โหลว จื่อกุ้ยถามซองจินขึ้น  "เจ้าดีขึ้นหรือยัง?"

"ข้าสบายดีแล้วขอรับ" ซองจินรีบตอบ

"พาคนเหล่านี้กลับไปยังพระราชวัง"โหลว จื่อกุ้ยสั่งขึ้น  "ให้เงาสายฟ้า พาผู้ชายจากแคว้นฮูเหนือเหล่านี้ไปยังศาลยุติธรรมพร้อมกับอุปราชเซี่ยและสอบปากคำพวกเขาภายในคืนนี้"

ซองจินรู้สึกเป็นห่วงในขณะที่ถามขึ้น "แล้วอุปราชจะไม่... ?"

"เขาจะไม่ทำอะไร" โหลว จื่อกุ้ยมั่นใจ "นี่คือย่านสีแดง แม้ว่าร้านค้าจะปิดแต่ข่าวจะแพร่จะกระจายไปอย่างรวดเร็ว เซี่ย เวินหย่วน จะไม่กล้าพยายามที่ทำอะไร "เมื่อเขาถูกป้ายสีให้เป็นคนทรยศ คนก็พร้อมที่จะกินเขาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ การต้องเผชิญกับความรู้สึกของสาธารณะชนเช่นนั้น อุปราชเซี่ยจะกล้าเสี่ยงหรือ?

ซองจินตอบรับก่อนจะจากไป  โหลว จื่อกุ้ยดึง หนิง เสี่ยวเหยาไปพร้อม ๆกับเขา แต่เธอก็ดึงดันและไม่อยากไป เธอจะละทิ้งสหายของเธอตั้งมากมายเอาไว้ที่นี่ได้อย่างไร?

"เจ้าทนไม่ได้ที่จะจากอุปราชเซี่ยไปหรือ?" ลูโหลว จื่อกุ้ยถามขึ้น

“……”หนิง เสี่ยวเหยาถึงกับพูดไม่ออก เธอแทบอยากจะโยนชายชราคนนั้นไปซอมบี้กินเป็นอาหารด้วยซ้ำ!

"ไปเถอะ ทำตัวดีๆและเชื่อฟัง" โหลว จื่อกุ้ยพูดขึ้นเบา ๆ "พวกเขาจะไม่เป็นไร เจ้าสามารถรักษาพวกเขาได้ หลังจากที่เจ้ากลับไปถึงพระราชวังแล้ว "

หนิง เสี่ยวเหยาเคยชินกับใบหน้าน้ำแข็ง และสายตาที่เย็นชาของโหลว จื่อกุ้ย แต่จู่ๆ เขาก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน นี่เป็นผู้ชายสองขั้วหรือไม่? เขาเป็นแม่ทัพสูงที่โหดร้ายในหนึ่งนาทีและเป็นที่รักของผู้คนในเวลาต่อมาหรือ?

อุปราชเซี่ย หัวเราะอย่างเยาะเย้ยขึ้นเมื่อเขาเฝ้าดูโหลว จื่อกุ้ย เดินนำหนิง เสี่ยวเหยา ออกไป ตอนนี้เขาคิดถึงมันแล้วเขาก็รู้ว่าเขายังไม่แพ้ เมื่อโหลว จื่อกุ้ย เสียชีวิตลงแล้ว เขาจะมีเวลามากพอที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับหนิงหยู หลานสาวของเขา

"ไปทหารและทหารม้า สั่งให้แม่ทัพทหารราบที่เก้า จัดกำลังผลออกไป" อุปราชเซี่ย สั่งคนของเขา "จะไม่มีใครในแคว้นฮูเหนือสามารถหลบหนีไปได้"

คนของอุปราชเซี่ย ทุกคนรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง "ขอรับ"

โหลว จื่อกุ้ยได้พูดคุยกับฟางถัง คนที่ตามหลังพวกเขามาขึ้น"เจ้าอยู่และคอยช่วยซองที่เจ็ด"

"แล้วเช่นนั้นใครจะปกป้องพวกท่านทั้งสอง?"

"ใครคือซองที่เจ็ด?"

ฟางถังและหนิง เสี่ยวเหยา เปิดปากของพวกเขาในเวลาเดียวกัน

"ซองที่เจ็ดก็คือซองจิน "โหลว จื่อกุ้ย อธิบายให้นางฟังในขณะที่เขาเดินไปตามถนน ฟางถังเฝ้ามองทั้งสองคนเดินออกจากตรอกไปจนพวกเขาเดินออกไปไกลแล้วเท่านั้น เขาถึงได้หันกลับไป ด้วยความแข็งแกร่งและทักษะของฮ่องเต้เขาจะสามารถปกป้องท่านแม่ทัพสูงสุดได้

เนื่องจากที่หนิง เสี่ยวเหยาได้ทุบรถม้าไปแล้ว เธอจึงทำได้เพียงต้องออกจากย่านสีแดงไปกับโหลว จื่อกุ้ยเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่พวกเขาก็ยังคงติดอยู่บนถนนครึ่งชั่วโมงต่อมา

"เอาอย่างนี้ดีไหม ให้ข้าอุ้มท่านไป?"หนิง เสี่ยวเหยาคนที่สำคัญถามขึ้น

โหลว จื่อกุ้ยลดเสียงของเขาลง "ข้าจะตาย"

"อะไรนะ?"หนิง เสี่ยวเหยาจ้องมองไปทันที

โหลว จื่อกุ้ยพูดซ้ำคำของเขาขึ้น "ข้าจะตาย? ในเร็ว ๆ นี้ถ้าเป็นเช่นนั้น? " อุปราชเซี่ยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นั้นได้มองมาที่เขาราวกับคนผู้หนึ่งกำลังมองไปที่คนที่ตายไปแล้ว

"ไม่มีเรื่องอะไรหรอก" หนิง เสี่ยวเหยา ตอบขึ้น "อุปราชเซี่ยได้สั่งให้วางยาพิษไว้บนใบมีดของมือประหาร แต่ข้าได้รักษามันให้ท่านไปแล้ว ท่านไม่รู้หรือ? "

โหลว จื่อกุ้ยถึงกับหยุดการก้าวเท้าของเขา  แล้วเขาจะไปรู้ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครเคยบอกอะไรเขาเลย!

"ดูเหมือนท่านจะไม่รู้" หนิง เสี่ยวเหยาส่ายหัวแล้วยิ้มกว้างขึ้นจนดวงตาของเธอหายไป "โอ้ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้บอกท่าน ฮ่าๆๆ ข้าคิดว่าข้าบอกไปแล้วเสียอีก "

โหลว จื่อกุ้ย ได้ยินถึงความรู้สึกชั่วร้ายทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ในนั้น

"จิ้งจอกเฒ่านั้นยังไม่รู้เรื่องนี้" หนิง เสี่ยวเหยายังคงยิ้มอยู่ "เขาคิดว่าท่านจะตายในวันที่มีการชุมนุมที่ท้องพระโรง เมื่อวันนั้นมาถึงท่านแม่ทัพสูงสุด ท่านควรจะไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาและทำให้เขาฉีกราดกางเกงของเขาจากความกลัว! "

โหลว จื่อกุ้ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง จุดประสงค์เดียวของเขาหลังจากหนีตายมาได้ก็เพื่อที่จะทำให้อุปราชฉี่ราดกางเกงของเขาเท่านั้นเองหรือ? ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยมีความยาวของคลื่นสมองเท่ากับสมองของคนผู้นี้เลยจริงๆ

หนิง เสี่ยวเหยายังพูดต่อไป "ถ้าข้าสามารถรักษาซองจินได้ ข้าก็สามารถรักษาคนอื่นๆได้ ท่านแม่ทัพสูงสุดไม่ต้องเป็นกังวล "

"เจ้ารู้ทักษะในการรักษาและทักษะการรักษาของเจ้าก็ดีมาก" โหลว จื่อกุ้ยมองไปที่หนิง เสี่ยวเหยา "ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า?"

หนิง เสี่ยวเหยา ตัวแข็ง เธอกำลังจะถูกจับได้หรือ

โหลว จื่อกุ้ยไม่ได้วางแผนที่จะกดดันให้นางตอบคำถาม ดังนั้นเมื่อนางปกปิดด้วยรอยยิ้มที่โง่เขลาบนใบหน้าของนาง เขาก็พูดขึ้น "ช่างเถอะ ข้าไม่ถามเรื่องนี้ก็ได้ เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร" ถ้าคนผู้นี้ยังอยากจะขอกำลังทหารโหลว จื่อกุ้ย ก็คิดกับตัวเอง ข้าก็ควรจะมอบมันออกไปด้วยมือทั้งสองของข้า คนผู้นี้ช่วยชีวิตข้าและชีวิตของฟางถังและยังมีคนอื่น ๆ อีก นางอยู่บนบัลลังก์เป็นเวลาเพียงสามวัน แต่นางก็ได้ช่วยคนเอาไว้มากมาย

หนิง เสี่ยวเหยา ยังคงส่ายหัว "ข้าจะต้องการกำลังทหารไปทำไม?"

โหลว จื่อกุ้ยจ้องมองไปที่หนิง เสี่ยวเหยา คนที่กำลังเป่าแก้มตัวเองอยู่

"เช่นนั้นให้ข้าถามคำถามกับท่านเป็นอย่างไร ข้าสามารถจากไปได้ แต่พวกท่านจะไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าข้าไป?

ตอนนี้เป็นโหลว จื่อกุ้ย ที่รู้สึกใจหาย คนที่อยู่ข้างๆเขาต้องการทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจากไปอย่างนั้นหรือ? หนิง เสี่ยวเหยาที่กำลังช่วยพยุงโหลว จื่อกุ้ยในขณะที่พวกเขาเดิน เธอก็กระซิบขึ้น "ความแข็งแกร่งของข้าก็ไม่เลวร้ายอะไรและข้าจะไม่ได้รับอันตรายหากข้าต้องต่อสู้ ข้าสามารถรักษาความเจ็บป่วยของคนได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจะไม่อดตายไม่ว่าฉันจะไปอยู่ที่ไหนใช่ไหม? แล้วมีอะไรที่ข้าจะไม่สามารถทำได้? "

โหลว จื่อกุ้ย ก้มศีรษะลงไปมองที่พื้น

"แต่ถ้าข้าจากไปแล้วใครจะเป็นฮ่องเต้?" หนิง เสี่ยวเหยาถามขึ้น

โหลว จื่อกุ้ยหยุดลง นอกเหนือจากองค์รัชทายาทแล้ว ก็ไม่มีบุตรชายคนไหนที่โดดเด่นแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มคนของอุปราชยังถืออำนาจมากมายเอาไว้ในตอนนี้ กองกำลังของเมืองหลวงและทหารม้าถูกควบคุมโดยพ่อและลูกตระกูลเซี่ย ดังนั้นถ้าลูกชายของฮ่องเต้คนอื่น ๆ ขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาก็คงจะไม่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดหรอกหรือ?