ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 3 : เชื่อฟังข้าอยู่เป็นศัตรูกับข้าตาย

 
         นางยังคงเป็นองค์หญิงหกผู้ที่ขลาด อ่อนแอ และโง่เขลา คนที่พวกเขาเคยรู้จักอยู่ใช่เหรือไม่ ไม่เพียงแต่จะประทานโทษตายให้แก่ที่ปรึกษายุนจิน ตอนนี้นางยังต้องการที่จะเป็นศัตรูกับอัครมหาเสนาบดี ก่อนหน้านี้องค์หญิงนางทั้งเคารพเทิดทูน และให้ความยำเกรงแก่อัครมหาเสนาบดีเป็นอย่างมาก ไม่กล้าที่จะละเลยแม้แต่น้อย สำหรับโอวหยาง เฉียนลั่น นั้นนางไม่เคยให้ความเคารพต่อองค์หญิงหกแม้แต่น้อย โม่ชิงหลี่ใช้นิ้วเรียวเคาะไปที่หางคิ้วงามของนางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะมองตรงไปที่โอวหยาง เฉียนลั่น ที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนางในเวลานี้ด้วยสายตาเย็นชา

            “ทำไม หรือเจ้าจะปฏิเสธ”

          โอวหยาง เฉียนลั่น ที่กำลังหมอบลงกับพื้นอยู่ในตอนนี้ นางถึงกับตกตะลึง นางกำลังหมอบกราบให้แก่องค์หญิงหกผู้นี้ ที่นางไม่เคยแม้แต่จะสนใจเอ่ยปากทักท่ายนายด้วยซ้ำ นางเหมือนจะห้ามร่างกายที่โง่งมที่สั่นเทาอยู่ในเวลานี้ไม่ได้เอาเสียเลย  

            “ข้า...ข้าผู้ต่ำต้อยผู้นี้ ไม่บังอาจ” ไหล่ทั้งสองข้างของเฉียนลั่นยังคงสั่นเทาไม่หยุด

            โม่ชิงหลี่หัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความพอใจ ก่อนจะกับมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิมอีกครั้ง

            “ถ้าเช่นนั้นก็จงไสหัวไป” 

            “เพคะ เช่นนั้นข้าผู้ต่ำต้อยขออำลา” โอวหยาง เฉียนลั่นคลานขึ้นจากพื้นด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ในชีวิตนี้ของนางไม่เคยเป็นมาก่อน โม่ชิงหลี่หันหลังเดินจากไป หากแต่คิ้วงามทั้งสองข้างของโม่ชิงหลี่กลับขมวดอย่างครุ่นคิด

            “อา...อีกอย่าง”

            ได้ยินเสียงเยือกเย็นของโม่ชิงหลี่ที่ดังมาจากข้างหลังของนาง ในตอนี้ จากจิตใต้สำนึกส่วนลึกของนาง  โอวหยาง เฉียนลั่น เริ่มหนาวสั่นจากความกลัวที่รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง นางรีบหันกลับไป พร้อมกับเข่าทั้งสองข้างคุกลงบนพื้นอีกครั้ง

            “ครั้งหน้า จงจำเอาไว้ เจ้าจงเรียกนามอันถูกต้องกฎมณเฑียรบาลแห่งองค์หญิงเช่นข้า ถ้าการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝ่าฝืนจะถูกตัดศีรษะอย่างไม่มีล่ะเว้น”

            โอวหยาง เฉียนลั่น ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านางออกมาจากตำหนักขององค์หญิงหกได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่าหลังจากที่นางเดินพ้นจากตำหนักองค์หญิงหก นางถึงกับเข่าอ่อน เกือบจะล้มลงลงไปที่พื้นตรงที่นางยืนอยู่ แต่โชคยังดีที่เหล่าบ่าวรับใช้ทีที่ยืนรออยู่ก่อนเห็นเข้า ต่างรีบวิ่งเข้ามาประคองนางด้วยความรีบร้อน

            “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ เหตุใดร่างกายท่านจึงเต็มไปด้วยเหงื่อเช่นนี้เล่า”

            โอวหยาง เฉียนลั่น ตอนนี้ในหัวของนางมีแต่คำว่า หก เต็มไปหมด นางเห็นแสงสีทองสว่างจ้าใต้แสงแดดที่ร้อนแรงสะท้อนเข้ามากระทบดวงตาของนางถึงกลับต้องหลับตาหลายครั้ง ก่อนจะรู้ว่ามันคือตำหนักที่งดงามขององค์หญิงหกนั้นเอง 

            “ข้าไม่เป็นไร รีบไปกันเถิด”

            “แล้วเรื่องขององค์หญิงนั้น......”

            ก่อนที่บ่าวรับใช้จะได้พูดให้จบประโยค ก็ถูกโอวหยาง เฉียนลั่น พูดแทรกขึ้นเสียก่อน

            “ต่อจากนี้ไป จะไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับองค์หญิงอีก ให้มันจบลงเพื่อเท่านี้”

            หน้าตาของเหล่าบ่าวรับใช้ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนงงงวย ถึงแม้ว่าโอวหยาง ยุนจิน จะเกิดเป็นเพศชาย แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงบุตรชายของท่านอัครมหาเสนาบดี และยังเป็นบุตรชายที่นายหญิงรักและทะนุถนอมเขายิ่งเสียกว่าสิ่งใด แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ ที่นายหญิงของพวกเขาจะยอมให้บุตรชายที่เป็นที่รักของนาง ตายอย่างน่าสลดเช่นนี้ แถบนางยังจะไม่ทำอะไรอีก

            โม่ชิงหลี่ในตอนนี้กำลังมองไปที่หยูเหยาด้วยสายตาเยือกเย็น ครุ่นคิดนางรู้สึกไม่ชอบใจที่จะต้องพบพาเอาอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ยามที่เห็นหน้าหยูเหยา

          “หยู เหยา”

            หยูเหยาเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรง นางคิดว่าร่างกายขององค์หญิงต้องมีความผิดปกติอย่างแน่นอน มันคงจะเย็นจนเกิดไป จนทำให้คนรอบข้างสั่นเทาเช่นนี้ได้ พวกขันทีและนางกำนัลต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

            “เพคะองค์หญิง” หยูเหยารีบขานรับทันที

            “เจ้าไม่ต้องการที่จะอยู่ข้างกายข้า” โม่ชิงหลี่เล่นกับแหวนบนนิ้วมือเรียวงานอย่างไม่ได้สนใจที่จะมองไปที่หยูเหยา ที่กำลังคุกเข่าอยู่ในเวลานี้ยามที่นางพูดแม้แต่น้อย

            หยูเหยาทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากคนตรงหน้า นางเงยหน้ามองไปที่โม่ชิงหลี่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าที่ยังคงมีแต่ความเฉยชา มันไม่ได้ปรากฏอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น

             หัวคิ้วของหยูเหยาเริ่มมีรอยย่นของความครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ น้องสาวของนางผู้มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก นางหวังว่านางจะสามารถมีอาณาจักรเป็นของตนเองได้ และในท้ายที่สุดแล้วนางจะสามารถร่วมทั้งโลกเอาไว้ด้วยกันภายใต้กำมือของนาง ด้วยเหตุนี้ หยูเหยาถึงกับยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าร่วมกองทัพ เริ่มแรกนั้น นางคิดว่านางจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ใครจะไปคิด ว่าองค์หญิงหกจะถูกใจนางเข้า สั่งให้นางมาติดตามอยู่ข้างกาย ทำทุกอย่างตั้งแต่บ่าวรับใช้จนถึงองค์รักษ์ นอกเหนือจากนี้ องค์หญิงหกเพื่อที่เอาใจองค์หญิงองค์โตทั้งหลาย นางได้ใช้อำนาจเข่นฆ่าชีวิตชายหญิงผู้บริสุทธิ์ไปอย่างมากมาย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หยูเหยาจึงได้รู้สึกเกลียดชังโม่ชิงหลี่ยิ่งนัก

            อย่างไรก็ตามในเวลานี้ องค์หญิงหกได้ถามนาง ว่านางอยากที่จะอยู่ข้างกายพระองค์หรือไม่ หยูเหยามีความลังเลเล็กน้อย นางรู้สึกว่าองค์หญิง ในตอนนี้คือภาพลวงตา มันเหมือนกับว่าคนที่ยืนอยู่ต่อหน้านางในตอนนี้ ไม่ใช่องค์หญิงหก หากแต่เป็นใครอีกคน ผู้ที่สามารถควบคุมโลกทั้งหมดไว้ภายใต้มือน้อยๆ นองนางได้อย่างง่ายดาย

            “ข้ารับใช้ผู้นี้ยินดีที่จะติดตามองค์หญิงหกเพคะ และจะคอยรับใช้ตลอดไป” หยูเหยาที่คุกเข่าของนางอยู่บนพื้น กำลังก้มหัวลงไปที่พื้นอย่างเคารพต่อคนตรงหน้า ทุกคำพูดนองนางเต็มไปด้วยความจริงจัง

            โม่ชิงหลี่หลังจากที่ได้ฟังคำพูดที่จริงจังของหยูเหยา นางกลับเกิดความประหลาดใจ จะอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หยูเหยาได้ให้คำตอบที่จริงจังกับนางแล้ว นางไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาจนเกินไป

            “ลุกขึ้น”

            หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย นี้คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน แต่จะว่าไป มันก็อาจเป็นไปได้ที่นางจะรู้สึกเช่นนี้ เพราะตอนนี้นางได้มาอาศัยอยู่ในร่างมนุษย์น้อยผู้นี้แล้ว

            “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าก็ออกก่อนไป อย่าให้ใครมารบกวนข้า” โม่ชิงหลี่ยืนอยู่ข้างเตียนนอนของนาง เตรียมตัวที่จะล้มตัวลงนอน ก่อนที่จะมองไปเห็นใบหน้าของหยูเหยาที่คล้ายว่ามีอะไรจะพูด แต่กลับลังเลไม่ยอมพูดมันออกมา มันดูสับสนงงงวย จนโม่ชิงหลี่ต้องตามขึ้น

            “หยูเหยาเจ้ามีสิ่งใดต้องการที่จะพูดกับข้า”

            ในที่สุดหยูเหยาก็เรียกความกล้าของนางกลับมา คุกเข่าลงไปที่พื้นอีกครั้ง

            “องค์หญิง คืนนี้ทรงต้องการให้ที่ปรึกษาสี่มาอุ่นเตียงหรือไม่เพคะ”

            โม่ชิงหลี่ถึงกลับมุกปากกระตุก ใบหน้าที่ไม่แยแสของนางนั้นปรากฏสีแดงอ่อนๆ ขึ้น น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความอึดอัดดังขึ้น

            “คืนนี้ไม่จำเป็น ข้าเหนื่อย เจ้าออกไปเถิด”

ขอบคุณทุกกำลังใจ และคอมเม้นท์ค่ะ









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น