หนิง เสี่ยวเหยา กระโดดข้ามกำแพงออกจากตำหนักของฮ่องเต้
และยืนอยู่ข้างนอกเพื่อดมกลิ่นของอากาศ เธอไม่อาจจับกลิ่นไอของห้องครัวได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่เตะกำแพงด้วยความไม่พอใจ
เพราะเธอใช้กำลังมากเกินไปกำแพงก็เลยสั่นสะเทือนขึ้นสองครั้ง ก่อนที่ก้อนทรายและก้อนหินจะตกลงมาจากด้านบน
หนิง เสี่ยวเหยา ยืนอยู่ที่นั่นด้วยความงุนงงจนกระทั่งเธอเห็นว่าผนังยังคงเหมือนเดิม
เธอถึงได้ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เธอจะทำอย่างไรถ้าพวกเขาทำให้เธอต้องจ่ายเงินสำหรับค่ากำแพงที่พัง?
หนิง เสี่ยวเหยาลูบท้องของเธอ ก่อนจะตัดสินใจที่จะเดินไปรอบ
ๆ เธอคงจะหาอะไรกินได้ ในพระราชวังที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้
ในเวลาเดียวกัน อุปราชเซี่ย
กำลังยืนอยู่บนเส้นทางที่อยู่ใกล้กับตำหนักของฮ่องเต้ กับแสงในตอนเย็นทำให้ชายคาโค้งขึ้นไปสู้ขอบฟ้า
กระเบื้องเคลือบของสันหลังคายื่นออกไปเหนือท้องฟ้า
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกจมอยู่ในความมืด ห้องบรรทมเหล่านี้ของฮ่องเต้และฮองเฮาก็มีอยู่ผ่านมาราชวงศ์แล้วราชวงศ์เล่า
ต่อเนื่องกันมาจนถึงตระกูลหนิง ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้านายของมัน มันก็มักจะยืนสูงอย่างโดดเด่นและสง่างามอยู่เสมอ
"ท่านมหาอุปราช"
หัวหน้าขันทีรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของเขา ก่อนที่จะคำนับและพูดด้วยเสียงต่ำขึ้น
"บ่าวผู้ต่ำต้อยคำนับท่านมหาอุปราชขอรับ"
"โหลว จื่อกุ้ย เป็นอย่างไรบ้าง?" อุปราชถามขึ้น
หัวขันทีส่ายหัว "ฝ่าบาทให้เขาพักอยู่ในห้องบรรทม
บ่าวผู้นี้จึงไม่ทราบอย่างแน่ชัดกับอาการใดๆ ของเขาขอรับ "
"คนเหล่านั้นจากกองกำลังทหารม้าพิเศษ
ก็ถูกปล่อยให้อยู่ที่ตำหนักโดยฝ่าบาทหรือ?" อุปราชเซี่ยถามขึ้นอีกครั้ง
"ขอรับ" หัวหน้าขันทีพูดขึ้น
“แม่ทัพนายพลเหล่านั้นไม่อนุญาตให้บ่าวผู้นี้เข้าไปในห้องบรรทม บ่าวผู้นี้จึงไม่ได้พบฝ่าบาทและไม่รู้ว่านี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทหรือไม่
โอ้ท่านมหารอุปราช แม่ทัพนายพลเหล่านั้นได้พาหมอหลวงเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของโหลว
จื่อกุ้ย ด้วยขอรับ "
อุปราช มั่นใจว่าโหลว
จื่อกุ้ย จะตายภายในสามวัน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าเขาจะมีหมอหรือไม่ เขาเพียงแค่พูดขึ้น
"ถ้าพวกเขาต้องการยา ก็จัดหามันให้พวกเขา ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการทั้งหมด
อย่าทำให้ฝ่าบาทโกรธ "
หัวหน้าขันทีรีบคำนับ "ขอรับ บ่าวผู้นี้เข้าใจแล้วขอรับ"
"ในสามวันต่อจากนี้ เป็นการเข้าท้องพระโรงครั้งแรกของฝ่าบาทในราชสำนัก"
อุปราชเซี่ยพูดขึ้นอีก "ข้าจะไปพบกับฝ่าบาทที่นั่น เจ้าต้องเตรียมการทั้งหมดให้เรียบร้อย
"
“ขอรับ” ขันทีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
อุปราชเซี่ย ยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น
ในขณะที่เขามองไปที่ตำหนักของฮ่องเต้ ที่สูงตระหง่าน เขายอมรับว่าเขาคิดผิดเกี่ยวกับเรื่องของหนิงหยู
แต่นางก็ไร้เดียงสาเกินไป ถ้านางจะพึ่งพาโหลว จื่อกุ้ย เพื่อปลดปล่อยตัวเอง แต่ในอีกสามวันต่อจากนี้เมื่อโหลว
จื่อกุ้ย ก็จะเสียชีวิตจากพิษ เขาอยากจะเห็นการแสดงออกของหนิงหยูจริงๆ เมื่อนางนั่งอยู่ในท้องพระโรงหลังจากที่นางสูญเสียความพยายามไปอย่างไร้ค่า
นางจะเผชิญกับขุนนางที่ทั้งหมดและบุตรชายของฮ่องเต้คนอื่นๆ ที่พลาดโอกาสที่จะได้รับบัลลังก์ไปอย่างไร
หัวหน้าขันทีเห็นอุปราชเซี่ยจากไป
ในขณะเดียวกันหนิง เสี่ยวเหยาที่ยืนอยู่หลังเสาหินบนถนน ขุดนิ้วมือของเธอลงไปในฝ่ามือของเธอ
เธอต้องไปที่ท้องพระโรงในอีกสามวันหรือ? เธอรู้สึกมึนงงอีกครั้งแล้ว ท้องพระโรงคืออะไร? เธอไม่เข้าใจอะไรเลย!
หลังจากที่อุปราชเซี่ย จากไปหัวหน้าขันทีก็ยืนตรงขึ้นและชี้ไปทางทิศทางของตำหนักของฮ่องเต้
และขันทีที่ใกล้ๆ
ก็รีบวิ่งไปหาเขา
"อย่ารบกวนในตำหนักของฮ่องเต้อีกต่อไป
บอกทุกคนให้กลับไป" หัวหน้าขันทีบอกกับคนอื่น ๆ "อะไรก็ตามที่เหล่าทหารพวกนั้นต้องการก็ให้พวกเขาไป
เตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมในท้องพระโรงของฝ่าบาทในเวลาสามวันด้วย"
ขันทีคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
หนิง เสี่ยวเหยาหรี่ตามองไปที่หัวขันที
ผู้ชายคนนี้ได้ส่งคนไปเฝ้าดูเธอด้วยหรือเปล่า? เธอจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขได้อย่างไรถ้าเขายังมีตัวตนอยู่? เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่ก้อนหินที่ทำหน้าที่เป็นที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ
จริงๆแล้วมันเป็นโคมไฟยาว แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้สินพระชนไปเมื่อเร็วๆนี้
พระราชวังจึงไม่อนุญาตให้มีการจุดไฟให้สว่างสไหวมากนัก ตอนนี้แท่นโคมไฟนี้ไม่มีเทียนอยู่
จึงดูเหมือนก้อนหินขนาดยักษ์ในสายตาของหนิง เสี่ยวเหยา
หัวหน้าขันทีพูดขึ้นทันที
"ทุกคนกลับไป ข้าจะไปพบพระพันปี”
ขันทีหนุ่มคำนับส่งหัวขันทีออกไป
เมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้และเข้ามาใกล้มากขึ้น หนิง เสี่ยวเหยา ก็ยื่นมือออกไปและผลักก้อนหินที่อยู่ข้างๆเธอ
แรงผลักของเธอทำให้ขาพังทลายไปกว่าครึ่งและครึ่งบนสุดก็ล้มไปลงบนศีรษะของขันทีอย่างแม่นย่ำ
ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้นทันที เขาตะโกนออกมาอย่างน่าสังเวช ก่อนที่จะเป็นลมใต้กองซากปรักหักพัง
ทำให้คนอื่นหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
หนิง เสี่ยวเหยา ปัดฝ่ามือของเธอแล้วพูดขึ้น
"เขาบาดเจ็บและหมดสติไปแล้ว พาเขาไปที่ห้องโถงของพระพันปีเพื่อรักษาบาดแผลของเขา
อ่า...พวกเจ้าทุกคนสามารถอยู่ดูแลเขาได้ที่นั่น ไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก "
ขันทีจ้องมองไปที่หนิง เสี่ยวเหยา
คนที่ยืนตัวตรงอยู่
"พวกเจ้ากำลังทำอะไร? พวกเจ้าต้องการที่ทำร้ายข้าหรือ? "
หนิง เสี่ยวเหยาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เติบโตมาตามกฎ
ดังนั้นคำพูดของเธอจึงฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่ากับพระพันปีเซี่ย แต่ถึงกระนั้นขันทีก็ไม่กล้าที่จะดูหมิ่นเธอ
พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นและคำนับต่อเธออย่างหวาดกลัว ราวกับว่าจะไม่สามารถรักษาศีรษะของพวกเขาเอาไว้ได้
หนิง เสี่ยวเหยาขยับไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการคำนับของพวกเขาและมองไปที่หัวขันทีที่ฝังอยู่ใต้ก้อนหิน
ศีรษะของเขาเป็นแผลเปิดออก ขาซ้ายหัก มือขวากระดูกหักออกมาจนเห็นได้จัด
หนิง เสี่ยวเหยา เกาหัวของเธอ เธอใช้พลังมากเกินไปหรือเปล่าถึงได้ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้
หนิง เสี่ยวเหยาไอขึ้น
ก่อนจะพูดขึ้น "ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการที่ทำร้ายข้า เช่นนั้นก็ไปช่วยเขา"
ขันทีลุกขึ้นกลับมามีสติและวิ่งไปที่หัวหน้าขันที
พวกเขายืนอยู่ข้างร่างที่ไม่มีชิ้นดีของเขาและไม่รู้จะทำอย่างไร
"ยกก่อนหินออก" หนิง
เสี่ยวเหยาบอกพวกเขาขึ้น ขันทีรีบยกก่อนหินออก หนิง เสี่ยวเหยา กำลังจะจากไปแต่แล้วเธอก็หันกลับไปถามขึ้น
"มีใครสามารถบอกข้าได้ไหมว่าห้องครัวอยู่ที่ไหน?"
"... ... " ขันทีคิดในใจ
การเรียกห้องเครื่องของราชวงศ์เป็น "ห้องครัว" แบบธรรมดา เป็นคำพูดธรรมดาที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาตั้งแต่เข้าสู่พระราชวัง
ขันทีคนหนึ่งยกมือขึ้นเพื่อชี้ทิศทาง ในขณะที่เขาสั่นไปด้วยความกลัว
ส่วนขันทีคนอื่น ๆ ก็สั่นเหมือนกันในขณะที่ยกก้อนหินออก ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกลัวฮ่องเต้
เพราะเขาพูดไม่รู้เรื่องและร่างติดอยู่กับพระพันปีในทันทีที่เข้าวังมา
ถ้ามีอะไรเขาจะดูขี้ขลาดมากยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก แต่ตอนนี้ ฮ่าๆๆ ขันทีต้องพูดว่า
แค่มองดูผลงานที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าของพวกเขาก็พอแล้ว หนิง เสี่ยวเหยา
ไม่สามารถรู้ความคิดของพวกเขาได้และขอบคุณขันทีที่ชี้ทาง ก่อนที่จะวิ่งไปที่ห้องเครื่อง
"ฝ่าบาทพูดขอบใจกับข้าด้วย"
ขันทีตกตะลึงจากคำพูดของหนิง เสี่ยวเหยา เขาแทบจะไม่สามารถเชื่อได้ในขณะที่เขาบอกเพื่อนของเขา
"... ... " ขันทีคนอื่น ๆ
ไม่อาจเชื่อได้เช่นกัน!