ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

สียงร้องของวิหคเพลิง ที่ดังไปถึงสวรรค์เก้าชั้น (นิยายเปล)ตอนที่ 62: ถูกจับได้โอยองค์ชาย



            ณ ตอนนี้มื้อกลางวันได้เตรียมเอาไว้แล้ว ถิงเยี่ย เดินช้าๆไปที่ด้านข้างของเหยา โม่ว่าน ก่อนจะยกปุกปุยขึ้นมาจากเข่าของนางและพาไปที่ม้านั่งยาว ก่อนที่จะช่วยเหยา โม่ว่านไปที่โต๊ะ  

          "เจ้าส่งอาหารไปให้องค์ชายหรือยัง?" มันเป็นเวลาสองวันแล้ว นับจากที่นางได้พบเหย่จวินฉิง เป็นครั้งสุดท้าย นับตั้งแต่วันที่นางบอกกับเขาว่าอย่าปรากฏตัวต่อหน้านางอีกครั้ง ในขณะที่สวมชุดสีขาว

          "เรียนเหนียงเหนียง ข้าได้ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ" ถิงเยี่ยรายงานขึ้น

          "เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้ "บางครั้งเหยา โม่ว่านก็จะจำได้ถึงสิ่งที่เยียน หนานเซิง เคยพูดเอาไว้ หรือว่านางจะทำเกินไปจริงๆ?

          "เหนียงเหนียง!" ถิงเยี่ย หันหลังเพื่อที่จะจากไปแล้วก็ได้พบกับเหย่จวินฉิงที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าตำหนักในชุดสีฟ้า

          ในเวลานั้น เหยา โม่ว่าน ราวกับว่าได้พบกับเหย่จวินฉิง ในอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง เสื้อผ้าสีฟ้าของเขาส่องประกายภายใต้แสงแดดและเข้ากับรูปร่างที่ดีของเขาได้อย่างงดงาม นี่เป็นสีที่เติมเต็มความยิ่งใหญ่และความภาคภูมิใจของเหย่จวินฉิง ได้ดีที่สุด ช่วงเวลาในปัจจุบันนี้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเหย่จวินฉิง เปล่งประกายของคนที่มีสุขภาพดีและความแข็งแกร่งออกมา ความหมดอาลัยตายด้านจากเมื่อก่อน ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่ที่อยู่เลย

          ถิงเยี่ยกำลังมองไปด้วยสายตาที่ตกตะลึง ก่อนจะรีบเปลี่ยนการจ้องมองของนางออกจากเหย่จวินฉิง สัญชาตญาณบอกนางว่านางไม่ควรแสดงอารมณ์อื่น ๆ ต่อชายผู้นี้ยกเว้นความเคารพเท่านั้น

          เหยา โม่ว่าน ดึงสายตาของนางกลับมาหลังจากที่ถิงเยี่ยออกไปแล้วเท่านั้น ก่อนจะเดินช้าๆไปที่โต๊ะโดยไม่พูดอะไรสักคำ

          "ข้า ... มีบางอย่างที่ต้องการถามเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถโกรธได้" แม้ว่า เหย่จวินฉิง จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเหยา โม่ว่าน ไม่สนในความจริงใจของเขา แต่เขาก็ยังเดินไปและนั่งลงข้างๆ เหยา โม่ว่านอยู่ดี

          "ลองพูดมาก่อนเพคะ" เหยา โม่ว่าน ยกตะเกียบขึ้นด้วยท่าทางสงบ เมื่อเหย่จวินฉิง เห็นว่าเหยา โม่ว่านดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆ เขาจึงคิดว่านางคงกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกประหม่ามากนัก

          "สิ่งที่เกิดขึ้นกับกุ้ยเฟย ... เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?" เหย่จวินฉิง เฝ้ามองเหยา โม่ว่าน อย่างใกล้ชิด แต่ก็เห็นเพียงจู่ๆ นางก็ว่างตะเกียบของนางลงและยกดวงตาที่กระพือของนางขึ้นมามองที่เขา

          "ท่านรู้สึกลำบากใจแทนนางหรือ?" เหยา โม่ว่าน ยกคิ้วขึ้น มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ระหว่างความมืดและแสงสว่างในดวงตาของนาง

            "อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของเจ้า นางเป็นพี่สาวของเจ้าและพวกเจ้าสามพี่น้องก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าอาจจะไม่ทำร้ายนาง! "เหย่จวินฉิง พูดซ้ำคำที่เขาเคยชักชวนให้ตัวเองเชื่อก่อนหน้านี้กับเหยา โม่ว่าน  

          "ข้าไม่ใช่คนที่ใส่สรั่ณไว้ที่นั่น" เหยา โม่ว่าน หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่นางพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ใช่มันเป็นความจริง างเคยคิดว่าพวกเขาใกล้ชิดกันมากที่สุดในฐานะพี่สาว น้องสาว แต่เหยา ซูหลาน ได้สอนนางถึงความหมายของคำว่า 'ความคิดปรารถนา' ของ 'ความไร้เดียงสาที่จินตนาการว่าความรักของคนหนึ่งจะเป็นไปในทางเดียวกัน''!

          เมื่อเหยา โม่ว่าน เห็นว่าเหย่จวินฉิง ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา นางก็พูดขึ้นอีก

          "แต่ข้าเป็นคนที่สั่งให้หยินเซี่ย เอามันไปวางไว้ที่นั่น" หลังจากที่เหยา โม่ว่านพูดจบ เหย่จวินฉิง ก็ลุกขึ้นยืนและมองนางด้วยความโกรธ

          "ทำไมเจ้าถึงต้องใส่ร้ายกุ้เฟย? นางเป็นพี่สาวของเจ้า! "เหย่จวินฉิง สามารถหาเหตุผลได้หลายพันเหตุผลที่ทำไมเหยา โม่ว่าน จะปลุกระดมความไม่ลงรอยกันระหว่างเหย่ หงอี๋ และฮว้าน เฮิ๋ง แต่เขาไม่สามารถคิดหาเหตุผลใด ๆได้ ว่าทำไมนางถึงต้องใส่ร้ายเหยา ซูหลาน เหยา โม่ซิน เคยบอกว่านางรักซูหลานน้องสาวนี้ของนางมาก

          "และท่านยังคงบอกว่าท่านไม่รู้สึกลำบากใจแทนนางอย่างนั้นหรือ?" เหยา โม่ว่าน ดูเหมือนจะไม่มีความสนใจ ในขณะที่นางหยิบปลาขึ้นมาและลองกินมันดู

          "เหยา โม่ว่าน! องค์ชายผู้นี้กำลังถามคำถามเจ้าอยู่ "เหย่จวินฉิง เกลียดทัศนคติที่ไม่จริงจังและไม่ใส่ใจของเหยา โม่ว่าน มากที่สุด

          "หยินเซี่ย มันเสียงดังมากจริงๆ " หัวคิ้วของเหยา โม่ว่านขมวดขึ้น เล็กน้อย ในขณะที่พูดขึ้นความหงุดหงิด

          "องค์ชาย เชิญ!" หยินเซี่ย ออกจากที่ใดก็ไม่รู้ในทันที ราวกับผีและปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเหย่จวินฉิง ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าที่งดงามของนางมีแต่ความเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง

          "เหยา โม่ว่าน! องค์ชายผู้นี้จะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายน้องสาวของโม่ซิน! องค์ชายผู้นี้จะตรงไปหาฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ เพื่อบอกถึงการกระทำของเจ้า! เจ้ามันเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยพิษร้าย! "เหย่จวินฉิง ได้ต่อสู้กับหยินเซี่ย มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช้คู่ต่อสู้ของนาง แทนที่จะถูกโยนออกไปมันจะดีกว่าที่จะเดินออกไปด้วยตัวเอง เพื่อที่จะรักษาศักดิ์ศรีของเขาเอาไว้

          "หยินเซี่ยไปได้!" เสียงของเหยา โม่ว่าน เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในขณะที่นางวางตะเกียบของนางลงอีกครั้ง เมื่อหยินเซี่ย จากไป นางก็ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปหาเหย่จวินฉิง โดยไม่มีอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าของนาง

          "ท่าน ... ท่านวางแผนจะทำอย่างไรหรือเพคะ?" เหย่จวินฉิง กลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยเห็นการแสดงออกอย่างจริงจังมากเช่นนี้ของเหยา โม่ว่านมาก่อน

          "ไปเลยเพคะ! ไปบอกฝ่าบาทว่านางสนมคนนี้เป็นคนวางสรั่ณเอาไว้ใต้เตียงของเหยา ซูหลาน! โม่ว่าน ไม่กล้ารับประกันเรื่องนี้กับคนอื่น แต่โม่ว่าน จะไม่หยุดท่าน ถ้าท่านต้องการจะเปิดเผยโม่ว่าน! ไปเถอะเพคะ! "เสียงที่ชัดเจนและเย็นชาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกและความไม่พอใจ คลื่นแห่งความโกรธพุ่งขึ้นมาในสายตาของเหยา โม่ว่าน และพวกมันก็เต็มไปด้วยแสงที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเหย่จวินฉิง ราวกับใบมีดคม ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย

          "เจ้า ... อย่าบังคับข้า ... " เหยา โม่ว่านก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ และทุกย่างก้าวของนาง ก็ดึงเอาความเชื่อมั่นของเหย่จวินฉิง ให้ลดน้อยลงทุกครั้ง ในขณะที่เขาก้าวถอยกลับไปจนเขาปะทะเข้ากับกำแพง อย่างไรก็ตามเหยา โม่ว่าน ยังคงไม่มีเจตนาที่จะหยุด ดังนั้นตำแหน่งของทั้งสองในตอนนี้จึงทำให้ผู้คนจินตนาการไปแสนไกล

          "ไม่ใช่ว่าองค์ชายผู้นี้บอกว่าองค์ชายผู้นี้จะไปอย่างแน่นอนเสียที่ไหน... " ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถบอกได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกกลัวสิ่งใดมากก่อน ในขณะที่อยู่ระหว่างการต่อสู้ในสนามรบ แต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าของเหยา โม่ว่าน เขาจะรู้สึกว่าร่างกายมันสั้นเล็กน้อยไปชั่วครู่ ในเวลาเดียวกันเขาจะเชื่อฟังและทำให้นางพอใจโดยจิตใต้สำนึก ความรู้สึกนั้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ บางทีเขาเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

          "แน่นอนท่านต้องไป! โม่ว่าน ต้องการเห็นความสุขและความโล่งใจของท่าน เมื่อท่านมองมาที่โม่ว่านคนที่ท่านทรยศ! "เสียงที่ชัดเจนของ เหยา โม่ว่าน เต็มไปด้วยความรังเกียจและดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยระลอกคลื่น ที่มองเห็นได้ในดวงตาของนาง ทำให้หัวใจของเหย่จวินฉิง จมดิ่งลงเล็กน้อยราวกับว่ามีบางสิ่งที่กดบนหน้าอกของเขาอยู่ ทำให้มันรู้สึกไม่สบายใจ

          "ข้าแค่ต้องการจะเตือนเจ้า ... ไม่ว่าจะอย่างไร เหยา ซูหลานก็ ... "

          "ไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายมาเตือนข้าว่านางเป็นอะไร องค์ชายคงรู้หนทางที่จะไปยังตำหนักหลวง ถ้าท่านไม่ทราบ โม่ว่านจะพาท่านไปที่นั่นเอง! "

          เหยา โม่ว่าน อยู่ใกล้กับเหย่จวินฉิง มากจนถึงจุดที่ว่าเหย่จวินฉิง สามารถนับจำนวนขนตาในแต่ละข้างของนางได้ มันถึงจุดที่เขาสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจจากริมฝีปากของเหยา โม่ว่าน เหย่จวินฉิง กลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบากและระงับความปรารถนาของเขาที่พุ่งขึ้นมาราวกับพายุให้หมดไป

          "ฮึม! ... องค์ชายผู้นี้สามารถให้โอกาสกับเจ้าได้" เหย่จวินฉิง ไล่ลำคอของเขาและพยายามที่จะก้าวถอยหลังไปอีกเล็กน้อย แต่ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาติดอยู่กับกำแพงแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยายามทำให้ร่างกายของเขาหดลงเล็กน้อย เพื่อทำให้ตำแหน่งที่เต็มไปด้วยความหมายคลุมเครือมีช่องว่าง
ขึ้น

          "องค์ชายสามารถไปพร้อมกับโม่ว่านได้ในตอนนี้ เพื่อเปิดเผยทุกอย่างเกี่ยวกับโม่ว่าน " ในขณะที่เหยา โม่ว่าน พูดนางก็เหลือบมองกลับไปที่ปุกปุย ที่กำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้นวม เมื่อนางหันกลับมาก็มีร่องรอยของความซุกซนอยู่ในสายตาของนาง "หรือว่าองค์ชายอยากจะกอดปุกปุยและพักผ่อนสักเล็กน้อยอยู่ในตำหนัก เพื่อล้างสิ่งที่อยู่ในศีรษะของท่าน องค์ชายเลือกเอาเองเพคะ! "

          "เจ้า! เจ้าพาลหาเรื่องเกินไปแล้ว! "เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหย่จวินฉิง ก็จ้องมองไปที่นางทันที

          "โม่ว่านมีความสมเหตุสมผลอยู่เสมอ ดูจากรูปลักษณ์ของมัน องค์ชายคงได้ตัดสินพระทัยไปแล้ว ไปกันเถอะเพคะ! "เหยา โม่ว่าน ขยับตัวนางออกห่างจากเหย่จวินฉิง จากนั้นก็หันกลับและมุ่งหน้าไปยังประตูตำหนัก

          นางหันกลับมาเมื่ออยู่นอกประตูตำหนักแล้วเท่านั้น เมื่อนางมองย้อนกลับไป เหย่จวินฉิง ก็ยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม หลังจากนั้นสักครู่เขาก็ตรงไปเข้าหาเก้าอี้นวมและหยิบปุกปุยขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะนั่งลง จากนั้นเขาก็มองไปที่เหยา โม่ว่าน ไม่พอใจ

          มันเป็นภาพที่งดงามและเต็มไปด้วยความอบอุ่น ผู้ชายที่ดูอ่อนโยนราวกับหยกและงดงามเหมือนท้องฟ้ากำลังมีแมวสีขาวว่างอยู่บนตักของเขา มันเป็นฉากที่กลมกลืนอย่างไม่น่าเชื่อ

          "องค์ชายคนนี้ไม่ชอบปุกปุย!" เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเหย่จวินฉิง ได้ทำลายช่วงเวลาที่กลมกลืนลง

          "เช่นนั้น ข้าก็คงจะต้องขอให้องค์ชายแยกตัวออกจากความใจแคบของเขาและเรียนรู้ที่จะรักโดยไม่มีขอบเขต" เหยา โม่ว่าน ไม่รีบร้อนและเดินออกไปจากตำหนัก คลื่นแห่งความอบอุ่นที่ไหลผ่านหัวใจของนาง ความอบอุ่นนี้เป็นเหมือนสายลมที่สดชื่นหลังจากฝนตก มันค่อย ๆ ทำลายหัวใจที่หนาวเย็นของเหยา โม่ว่านลง

          "องค์ชายผู้นี้ได้ทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว แล้วตอนนี้เจ้าจะไปที่ไหน?" เมื่อเหย่จวินฉิง เห็นว่าเหยา โม่ว่านกำลังจะจากไป เขาก็ถามอย่างประหม่าขึ้น

          อ่า! ปุกปุยเป็นแมวท้องแก่ องค์ชายไม่ควรรบกวนลูกแมวตัวน้อยในท้องของนาง "เหยา โม่ว่าน วางนิ้วข้างริมฝีปากของนาง แล้วมองไปที่ปุกปุย อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางสบายดี นางก็หันไปมองที่เหย่จวินฉิง เล็กน้อย ก่อนที่จะหันหน้าหลังและจากไป

Unruly Phoenix Xiaoyao (นิยายแปล) ตอนที่ 33 : 2 ถ้าข้าจากไปแล้วใครจะเป็นฮ่องเต้


"ยังมีคนจำนวนมากนอนอยู่บนพื้น" หนิงเสี่ยวเหยา ไม่ต้องการที่จะจากไป เธอยังไม่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาเลย แล้วเธอจะจากไปได้อย่างไร

โหลว จื่อกุ้ยถามซองจินขึ้น  "เจ้าดีขึ้นหรือยัง?"

"ข้าสบายดีแล้วขอรับ" ซองจินรีบตอบ

"พาคนเหล่านี้กลับไปยังพระราชวัง"โหลว จื่อกุ้ยสั่งขึ้น  "ให้เงาสายฟ้า พาผู้ชายจากแคว้นฮูเหนือเหล่านี้ไปยังศาลยุติธรรมพร้อมกับอุปราชเซี่ยและสอบปากคำพวกเขาภายในคืนนี้"

ซองจินรู้สึกเป็นห่วงในขณะที่ถามขึ้น "แล้วอุปราชจะไม่... ?"

"เขาจะไม่ทำอะไร" โหลว จื่อกุ้ยมั่นใจ "นี่คือย่านสีแดง แม้ว่าร้านค้าจะปิดแต่ข่าวจะแพร่จะกระจายไปอย่างรวดเร็ว เซี่ย เวินหย่วน จะไม่กล้าพยายามที่ทำอะไร "เมื่อเขาถูกป้ายสีให้เป็นคนทรยศ คนก็พร้อมที่จะกินเขาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ การต้องเผชิญกับความรู้สึกของสาธารณะชนเช่นนั้น อุปราชเซี่ยจะกล้าเสี่ยงหรือ?

ซองจินตอบรับก่อนจะจากไป  โหลว จื่อกุ้ยดึง หนิง เสี่ยวเหยาไปพร้อม ๆกับเขา แต่เธอก็ดึงดันและไม่อยากไป เธอจะละทิ้งสหายของเธอตั้งมากมายเอาไว้ที่นี่ได้อย่างไร?

"เจ้าทนไม่ได้ที่จะจากอุปราชเซี่ยไปหรือ?" ลูโหลว จื่อกุ้ยถามขึ้น

“……”หนิง เสี่ยวเหยาถึงกับพูดไม่ออก เธอแทบอยากจะโยนชายชราคนนั้นไปซอมบี้กินเป็นอาหารด้วยซ้ำ!

"ไปเถอะ ทำตัวดีๆและเชื่อฟัง" โหลว จื่อกุ้ยพูดขึ้นเบา ๆ "พวกเขาจะไม่เป็นไร เจ้าสามารถรักษาพวกเขาได้ หลังจากที่เจ้ากลับไปถึงพระราชวังแล้ว "

หนิง เสี่ยวเหยาเคยชินกับใบหน้าน้ำแข็ง และสายตาที่เย็นชาของโหลว จื่อกุ้ย แต่จู่ๆ เขาก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน นี่เป็นผู้ชายสองขั้วหรือไม่? เขาเป็นแม่ทัพสูงที่โหดร้ายในหนึ่งนาทีและเป็นที่รักของผู้คนในเวลาต่อมาหรือ?

อุปราชเซี่ย หัวเราะอย่างเยาะเย้ยขึ้นเมื่อเขาเฝ้าดูโหลว จื่อกุ้ย เดินนำหนิง เสี่ยวเหยา ออกไป ตอนนี้เขาคิดถึงมันแล้วเขาก็รู้ว่าเขายังไม่แพ้ เมื่อโหลว จื่อกุ้ย เสียชีวิตลงแล้ว เขาจะมีเวลามากพอที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับหนิงหยู หลานสาวของเขา

"ไปทหารและทหารม้า สั่งให้แม่ทัพทหารราบที่เก้า จัดกำลังผลออกไป" อุปราชเซี่ย สั่งคนของเขา "จะไม่มีใครในแคว้นฮูเหนือสามารถหลบหนีไปได้"

คนของอุปราชเซี่ย ทุกคนรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง "ขอรับ"

โหลว จื่อกุ้ยได้พูดคุยกับฟางถัง คนที่ตามหลังพวกเขามาขึ้น"เจ้าอยู่และคอยช่วยซองที่เจ็ด"

"แล้วเช่นนั้นใครจะปกป้องพวกท่านทั้งสอง?"

"ใครคือซองที่เจ็ด?"

ฟางถังและหนิง เสี่ยวเหยา เปิดปากของพวกเขาในเวลาเดียวกัน

"ซองที่เจ็ดก็คือซองจิน "โหลว จื่อกุ้ย อธิบายให้นางฟังในขณะที่เขาเดินไปตามถนน ฟางถังเฝ้ามองทั้งสองคนเดินออกจากตรอกไปจนพวกเขาเดินออกไปไกลแล้วเท่านั้น เขาถึงได้หันกลับไป ด้วยความแข็งแกร่งและทักษะของฮ่องเต้เขาจะสามารถปกป้องท่านแม่ทัพสูงสุดได้

เนื่องจากที่หนิง เสี่ยวเหยาได้ทุบรถม้าไปแล้ว เธอจึงทำได้เพียงต้องออกจากย่านสีแดงไปกับโหลว จื่อกุ้ยเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่พวกเขาก็ยังคงติดอยู่บนถนนครึ่งชั่วโมงต่อมา

"เอาอย่างนี้ดีไหม ให้ข้าอุ้มท่านไป?"หนิง เสี่ยวเหยาคนที่สำคัญถามขึ้น

โหลว จื่อกุ้ยลดเสียงของเขาลง "ข้าจะตาย"

"อะไรนะ?"หนิง เสี่ยวเหยาจ้องมองไปทันที

โหลว จื่อกุ้ยพูดซ้ำคำของเขาขึ้น "ข้าจะตาย? ในเร็ว ๆ นี้ถ้าเป็นเช่นนั้น? " อุปราชเซี่ยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นั้นได้มองมาที่เขาราวกับคนผู้หนึ่งกำลังมองไปที่คนที่ตายไปแล้ว

"ไม่มีเรื่องอะไรหรอก" หนิง เสี่ยวเหยา ตอบขึ้น "อุปราชเซี่ยได้สั่งให้วางยาพิษไว้บนใบมีดของมือประหาร แต่ข้าได้รักษามันให้ท่านไปแล้ว ท่านไม่รู้หรือ? "

โหลว จื่อกุ้ยถึงกับหยุดการก้าวเท้าของเขา  แล้วเขาจะไปรู้ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครเคยบอกอะไรเขาเลย!

"ดูเหมือนท่านจะไม่รู้" หนิง เสี่ยวเหยาส่ายหัวแล้วยิ้มกว้างขึ้นจนดวงตาของเธอหายไป "โอ้ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้บอกท่าน ฮ่าๆๆ ข้าคิดว่าข้าบอกไปแล้วเสียอีก "

โหลว จื่อกุ้ย ได้ยินถึงความรู้สึกชั่วร้ายทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ในนั้น

"จิ้งจอกเฒ่านั้นยังไม่รู้เรื่องนี้" หนิง เสี่ยวเหยายังคงยิ้มอยู่ "เขาคิดว่าท่านจะตายในวันที่มีการชุมนุมที่ท้องพระโรง เมื่อวันนั้นมาถึงท่านแม่ทัพสูงสุด ท่านควรจะไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาและทำให้เขาฉีกราดกางเกงของเขาจากความกลัว! "

โหลว จื่อกุ้ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง จุดประสงค์เดียวของเขาหลังจากหนีตายมาได้ก็เพื่อที่จะทำให้อุปราชฉี่ราดกางเกงของเขาเท่านั้นเองหรือ? ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยมีความยาวของคลื่นสมองเท่ากับสมองของคนผู้นี้เลยจริงๆ

หนิง เสี่ยวเหยายังพูดต่อไป "ถ้าข้าสามารถรักษาซองจินได้ ข้าก็สามารถรักษาคนอื่นๆได้ ท่านแม่ทัพสูงสุดไม่ต้องเป็นกังวล "

"เจ้ารู้ทักษะในการรักษาและทักษะการรักษาของเจ้าก็ดีมาก" โหลว จื่อกุ้ยมองไปที่หนิง เสี่ยวเหยา "ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า?"

หนิง เสี่ยวเหยา ตัวแข็ง เธอกำลังจะถูกจับได้หรือ

โหลว จื่อกุ้ยไม่ได้วางแผนที่จะกดดันให้นางตอบคำถาม ดังนั้นเมื่อนางปกปิดด้วยรอยยิ้มที่โง่เขลาบนใบหน้าของนาง เขาก็พูดขึ้น "ช่างเถอะ ข้าไม่ถามเรื่องนี้ก็ได้ เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร" ถ้าคนผู้นี้ยังอยากจะขอกำลังทหารโหลว จื่อกุ้ย ก็คิดกับตัวเอง ข้าก็ควรจะมอบมันออกไปด้วยมือทั้งสองของข้า คนผู้นี้ช่วยชีวิตข้าและชีวิตของฟางถังและยังมีคนอื่น ๆ อีก นางอยู่บนบัลลังก์เป็นเวลาเพียงสามวัน แต่นางก็ได้ช่วยคนเอาไว้มากมาย

หนิง เสี่ยวเหยา ยังคงส่ายหัว "ข้าจะต้องการกำลังทหารไปทำไม?"

โหลว จื่อกุ้ยจ้องมองไปที่หนิง เสี่ยวเหยา คนที่กำลังเป่าแก้มตัวเองอยู่

"เช่นนั้นให้ข้าถามคำถามกับท่านเป็นอย่างไร ข้าสามารถจากไปได้ แต่พวกท่านจะไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าข้าไป?

ตอนนี้เป็นโหลว จื่อกุ้ย ที่รู้สึกใจหาย คนที่อยู่ข้างๆเขาต้องการทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจากไปอย่างนั้นหรือ? หนิง เสี่ยวเหยาที่กำลังช่วยพยุงโหลว จื่อกุ้ยในขณะที่พวกเขาเดิน เธอก็กระซิบขึ้น "ความแข็งแกร่งของข้าก็ไม่เลวร้ายอะไรและข้าจะไม่ได้รับอันตรายหากข้าต้องต่อสู้ ข้าสามารถรักษาความเจ็บป่วยของคนได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจะไม่อดตายไม่ว่าฉันจะไปอยู่ที่ไหนใช่ไหม? แล้วมีอะไรที่ข้าจะไม่สามารถทำได้? "

โหลว จื่อกุ้ย ก้มศีรษะลงไปมองที่พื้น

"แต่ถ้าข้าจากไปแล้วใครจะเป็นฮ่องเต้?" หนิง เสี่ยวเหยาถามขึ้น

โหลว จื่อกุ้ยหยุดลง นอกเหนือจากองค์รัชทายาทแล้ว ก็ไม่มีบุตรชายคนไหนที่โดดเด่นแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มคนของอุปราชยังถืออำนาจมากมายเอาไว้ในตอนนี้ กองกำลังของเมืองหลวงและทหารม้าถูกควบคุมโดยพ่อและลูกตระกูลเซี่ย ดังนั้นถ้าลูกชายของฮ่องเต้คนอื่น ๆ ขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาก็คงจะไม่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดหรอกหรือ?

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

Unruly Phoenix Xiaoyao (นิยายแปล)ตอนที่ 33:1 ถ้าข้าจากไป แล้วใครจะเป็นฮ่องเต้?




อุปราช เริ่มหงุดหงิดกับนกกระจอกทุกตัวในคืนนี้ เมื่อถึงเวลาที่เขาจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ เขาก็เห็นว่าซองจินได้ยืนขึ้นจากพื้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร!?

หนิง เสี่ยวเหยาเหมือนสุนัขที่เหนื่อยล้า หลังจากรักษาพิษของซองจินแล้ว ตอนนี้เธอก็เหนื่อยเหมือนสุนัขที่ตายไปแล้วและฟุบลงไปที่พื้นทันที จากนั้นเธอก็หยิบเอาถั่วน้ำตาลบางส่วนออกมาจากในกระเป๋าของเธอ และโยนมันลงในปากของเธอ เธอต้องฟื้นพลังของเธออย่างรวดเร็วที่สุด มีผู้คนจำนวนมากรอการรักษาพิษอยู่ อุปราชเซี่ยถึงกับก้าวเท้าถอยหลังและยังคงเต็มไปด้วยความตกใจ ความคิดแรกของเขาคือมีปัญหายางอย่างกับคนที่ปล่อยควันพิษหรือไม่! เขาอาจจะคุกเข่าให้กับหนิง เสี่ยวเหยาและกลายเป็นคนของนางแล้วหรือไม่

ซองจินไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่จะคิดให้มากความ เขาจ้องมองอย่างเย็นชาไปที่อุปราชเซี่ย ก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้อง หนิง เสี่ยวเหยาที่อยู่ข้างหลังเขา ในขณะนี้โหลว จื่อกุ้ยมาพร้อมกับฟางถัง ที่ช่วยพยุงเขาเดินมาทีละก้าว เข้ามาในตรอกมากขึ้น ก่อนจะเหลือบมองไปที่หนิง เสี่ยวเหยาที่นั่งอยู่บนพื้นและรู้สึกว่าหัวใจของเขาสั่นไหว ก่อนจะรีบเรียกขึ้น "ฝ่าบาท"

หนิง เสี่ยวเหยา เคี่ยวถั่วน้ำตาลในขณะที่เธอโบกมือให้เขาก่อนจะพูดขึ้น "ข้าอยู่ทางนี่"

เมื่อได้ยินนางพูดขึ้น โหลว จื่อกุ้ยก็รู้สึกมั่นใจขึ้น สายตาของเขาหันไปทางอุปราชเซี่ยทันที คนที่พาผู้เชี่ยวชาญในการยิงธนูและอาวุธลับมาด้วย และเมื่อไม่มีคำสั่งของอุปราชเซี่ย พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว เมื่ออุปราชเซี่ยมองเห็นสายตาของโหลว จื่อกุ้ย เขาก็ยิ้มขึ้นทันที

"ฝ่าบาทและท่านแม่ทัพสูงสุดยังอยู่ดีและปลอดภัย ตอนนี้ข้าก็สามารถวางใจได้เสียที"

โหลว จื่อกุ้ยตอบขึ้นอย่างเย็นชา "พวกเราทำให้ท่านมหาอุปราชต้องเป็นกังวลแล้ว โชคดีที่สุดที่คืนนี้ฝ่าบาททรงปลอดภัย"

อุปราชเซี่ยยิ้มขึ้น"ท่านแม่ทัพสูงสุดกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาททรงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ท่านแม่ทัพสูงสุดดูเหมือนว่าทางแคว้นฮูเหนือจะไม่หยุดที่จะทำลายราชวงศ์โหยงหนิงของเรา ดังนั้นท่านคงต้องดูแลตัวเองดีๆ "

โหลว จื่อกุ้ย พยักหน้า "คำแนะนำของท่านมหาอุปราชมีประโยชน์จริงๆ"

หนิง เสี่ยวเหยา ยังคงอยู่บนพื้นในขณะที่เธอถามนกเหยี่ยวที่อยู่บนหัวไหล่ของเธอขึ้น"ทำไมพวกเขาถึงพูดกันอีก? ไม่ใช่ว่าพวกเขาควรจะกัดกันให้ตายกันไปตั้งแต่แรกเห็นแล้วหรือ? " แต่พวกเขากลับยืนอยู่ตรงข้ามกันและแลกเปลี่ยนคำพูดราวกับเพื่อนกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เหยี่ยวน้อยตอนแรกยอมรับว่าเขาไม่รู้ ก่อนที่จะพูดขึ้นอีก "มนุษย์ทุกคนรู้ว่าควรจะแสร้งทำอย่างไร!" หนิง เสี่ยวเหยาเต็มไปด้วยความเงียบ ความคิดเห็นนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล เธอไม่มีข้อโต้แย้งเลยแม้แต่น้อย

ถึงตอนนี้ อุปราชเซี่ย ก็ได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง " ฝ่าบาททรงทราบปัญหาเกี่ยวกับจดหมายเหล่านี้มาเป็นเวลานาน แต่เพื่อประโยชน์ในการซุ่มจับคนป่าเถื่อนแคว้นฮูเหนือในเมืองหลวงให้หมดไป พระองค์จึงต้องให้ร้ายท่านแท่ทัพสูงสุดและทำเป็นไปช่วยท่านแม่ทัพให้พ้นผิด ตอนนี้สายลับต่างก็ถูกจับได้แล้ว ท่านแม่ทัพสูงสุดจึงไม่จำเป็นต้องรับข้อกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศอีกต่อไป " ตอนนี้อุปราชเซี่ย เอามือข้างหนึ่งขึ้นและยกมันขึ้นมาที่หน้าอกของเขาก่อนจะพูดขึ้น "ข้าเคยข่มขู่ท่านแม่ทัพสูงสุดในอดีต ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพสูงสุด จะไม่ตำหนิข้า"

โอ้พระเจ้า!

หนิง เสี่ยวเหยาถึงกับมือสั่น เธอรู้สึกราวกับว่าสิบแปดมงกุฎกำลังวิ่งพล่านอยู่ในใจเธอ เธอเพิ่งจะได้รับรู้ถึงความไร้ยางอายของชายชราคนนี้ก็ตอนนี้! มือของฟางถังและโหลว จื่อกุ้ยก็สั่นเช่นกัน อุปราชเซี่ยผู้นี้ควรจะเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในการใช้ความรู้แบบขงจื้อของเขา แต่เขากลับเป็นผู้ร้ายที่น่ารังเกียจมาก! เหยี่ยวตัวน้อยกระพือปีกและร้องขึ้น "อู๊กๆๆ เสี่ยวเหยาให้ข้ากินเขาดีไหม"

"... ... " หนิง เสี่ยวเหยาถึงกับพูดไม่ออก เหยี่ยวตัวนี้สามารถหอนเหมือนหมาป่าได้ด้วย?

หนิง เสี่ยวเหยากอดเหยี่ยวน้อยไว้ที่หน้าอกของเธอ ชายชราคนนี้มีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากเขาอาจจะฆ่านกก่อนที่มันจะบินเข้าไปใกล้เขาได้ด้วยซ้ำ โหลว จื่อกุ้ยตบมือของฟางถัง และมองไปที่อุปราชเซี่ย ด้วยรอยยิ้มที่ไปถึงดวงตาของเขา เขาเป็นคนที่มีรูปลักษณ์ราวกับภาพเขียน เมื่อเขาไม่ยิ้มกลิ่นอายสังหารก็จะกระจายออกมาจากตัวเขา จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เมื่อเขายิ้มมันก็เหมือนกับว่าจิตรกรได้เพิ่มสีสันให้กับดวงตาของเขาด้วยความเร่งรีบ ฉากนี้ทำให้นึกถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีลมกระโชกแรงไปถึงสิบลี่ และดอกไม้ที่บานเต็มที่

หัวใจของหนิง เสี่ยวเหยา เต้นเร็วเป็นสองเท่า เธอรู้ดีว่าโหลว จื่อกุ้ย นั้นหล่อเหลามาก แต่เขาไม่เคยยิ้มให้กับเธอมาก่อน ดังนั้นหนิง เสี่ยวเหยา จึงไม่เคยรู้ว่ารอยยิ้มของใครบาง สามารถมีลักษณะเช่นดอกไม้บานได้ และไม่ใช่หนึ่ง แต่เต็มไปหมด!

อุปราชเซี่ยก็กำลังยิ้มด้วยเช่นกัน แต่มือของเขากำเป็นกำปั้นแน่ เขารู้ดีว่าทำไมโหลว จื่อกุ้ย ถึงยิ้ม เพราะเขาได้วางโทษทั้งหมดไว้ที่แคว้นฮูเหนือเพื่อแสดงเหตุผลอันสมควรพิสูจน์ของตัวเอง เขาได้ยอมรับความล้มเหลวของเขาในครั้งนี้แล้ว ถ้าเขาเป็นนักพนัน เขาก็จะสูญเสียทรัพย์สินของตระกูลของเขาไปจนหมด โหลว จื่อกุ้ยผลักมือของฟางถังออกและเดินช้าๆไปที่หนิง เสี่ยวเหยา ก่อนที่จะก้มลงและพูดด้วยเสียงต่ำ "กระหม่อมขอเชิญฝ่าบาทเสด็จกลับไปที่พระราชวังก่อนพ่ะย่ะค่ะ สายลับของแคว้นฮูเหนือได้รับการจับกุมแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ "

หนิง เสี่ยวเหยาถามขึ้นทันที "มีคนหนีรอดไปได้หรือไม่?"

โหลว จื่อกุ้ยตอบขึ้น "ถ้ามีจำนวนจะไม่สูงนัด มดไม่สามารถเขย่าต้นไม้ได้ ดังนั้นฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวล "

หนิง เสี่ยวเหยากระพริบตา แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมชายคนนี่ถึงคิดเกี่ยวกับมด แต่แล้วเธอก็ตระหนักได้ว่าพวกมันไม่มีทางที่จะเขย่าต้นไม้ใหญ่ได้จริงๆ คำพูดของเขานั้นก็ไม่ผิด

"ฝ่าบาท" โหลว จื่อกุ้ยยื่นมือไปหาหนิง เสี่ยวเหยา วางมือขวาไว้บนฝ่ามือของโหลว จื่อกุ้ย  แต่ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายดึงเธอขึ้น เพราะท่านแม่ทัพสูงสุดยังไม่สบายอยู่!

หลังจากลุกขึ้นยืนด้วยพลังของตัวเอง เธอก็ถามด้วยน้ำเสียงเบาขึ้น"เรากำลังจะกลับจริงๆหรือ?"

โหลว จื่อกุ้ยพยักหน้า เขาก้มศีรษะเพื่อมองไปที่มือหนิง เสี่ยวเหยา ตอนนี้พวกมันกลายเป็นกรงเล็บที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเจ้าของนั้นมีความสุขกับตำแหน่งที่สูงและอาศัยอยู่อย่างสุขสบายแค่ไหน คนที่ฝึกวรยุทธจะมีมือเช่นนี้ได้อย่างไร?

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

เสียงร้องของวิหคเพลิง (นิยายเปล), ตอนที่ 61: ผู้รับเคราะห์



          ฮว่าน ฉ่าย ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบและเงียบ ตั้งแต่ตอนที่ฮว้าน เฮิ๋ง เดินเข้ามาในตำหนักปุบผาพิสุทธิ์แล้ว เหยา โม่ว่าน รู้ว่าการพึ่งพาเช่นนี้เกิดจากความไว้วางใจ พวกเขาทั้งสองเป็นบิดา - เหยา โม่ว่าน มองไปที่ด้านข้างของนาง– แต่นางก็ไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านางต้องพึ่งพาเหยา เจิ้นถิง ถ้านางทำเช่นนั้นจริงๆ นางอาจจะต้องเสียชีวิตไปแล้วหลายพันครั้งแล้ว

          บังอาจ! ตำหนักของข้าใช่ที่ที่เจ้าอยากจะค้นก็ค้นได้อย่างนั้นหรือ? หรือว่าแม่ทัพฮว้าน เฮิ๋งไม่ต้องการที่จะเคารพฮ่องเต้และข้าอีกต่อไปแล้ว เพียงเพราะเจ้ามีอำนาจทางทหารที่เข้มแข็งอย่างนั้นหรือ? "เหยา ซูหลานจงใจยกระดับเสียงของตัวเองเพื่อเตือนเหย่ หงอี๋

          “แม่ทัพฮว้าน เจิ้นหวังว่าเจ้าจะคิดทุกอย่าง อย่างชัดเจนและรอบคอบ เจิ้น ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ ดังนั้นสนมกุ้ยเฟย จึงถือเป็นผู้ที่มีเกียรติมากที่สุดในวังหลัง และตำหนักตำหนักปุบผาพิสุทธิ์ ก็ไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะสามารถทำได้เพียงแค่มีความปรารถนา! "เหย่ หงอี๋ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาเงียบไปนานและมองไปที่ฮว้าน เฮิ๋งอย่างเย็นชา

          "ฝ่าบาทกระหม่อม ยินดีที่จะใช้ตราประทับของแม่ทัพเพื่อเป็นหลักประกัน หากกระหม่อมไม่พบสรั่น ในตำหนักของพระสนมกุ้ยเฟย กระหม่อมก็จะส่งมอบตราประทับของแม่ทัพให้ฝ่าบาทและจะล้างมือจากการเมืองไปพร้อมกับภรรยาและบุตรของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ"คำพูดของฮว้าน เฮิ๋งเป็นสิ่งที่เหย่ หงอี๋ ต้องการ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แม้แต่ะหยุดคิด ก่อนที่เขาจะยอมรับคำขอนั้นด้วยซ้ำ

          เหยา ซูหลานรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางรู้ดีว่าตำหนักของนางไม่เคยสรั่นอยู่ที่นี่

          "พระสนมกุ้ยเฟย กระหม่อมต้องขออภัยในความความผิดครั้งนี้ด้วย!" เมื่อฮว้าน เฮิ๋ง ได้รับการพยักหน้าของเหย่ หงอี๋ เขาเริ่มค้นหาไปรอบๆ แม้ว่าเขาจะได้รับข้อมูลแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้มุ่งตรงไปที่เตียงและแต่กลับยังคงค้นหาต่อไปอย่างน่าเชื่อถือ

          ในความเป็นจริง ฮว้าน เฮิ๋งเองก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เพราะข่าวนี้มาจากเหยา โม่ว่าน คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนโง่เขลา ดังนั้นจึงยากที่จะบอกได้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ แต่ทุกอย่างก็มาถึงจุดนี้แล้ว เขาจึงไม่ได้มีเส้นทางอื่นให้หนีไปได้ นอกจากนี้เขาก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้จริงๆ เป้าหมายคือเขา เนื่องจากฮ่องเต้เริ่มสงสัยว่าในความซื่อสัตย์ของเขา!

          หลังจากประมาณครึ่งหนึ่งของก้านธูป ฮว้าน เฮิ๋งก็เดินช้า ๆ ไปที่เตียง เขาคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น "กระหม่อมอภัยด้วย!"

          หลังจากนั้น เขาก็ก้มลงไปใต้เตียง เมื่อเหยา ซูหลาน เห็นว่าฮว้าน เฮิ๋ง ดูเหมือนจะมั่นใจว่ามีของอยู่ นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะมองไปที่เหย่ หงอี๋ ที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง อย่างไรก็ตามนางพบว่าสายตาของเขามีแต่เหยา โม่ว่านอย่างสมบูรณ์และเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

          ในขณะนี้เสียงดังเอี๊ยดๆ ก็ดังมาจากใต้เตียง เมื่อฮว้าน เฮิ๋ง ออกมาจากใต้เตียงเขาก็มีสรั่นอยู่ในมือของเขา

          "พระสนมกุ้ยเฟยมีแผนจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?" ฮว้าน เฮิ๋ง มองไปทางเหยา ซูหลาน ด้วยสายตาที่รุนแรงของเขา

          "มัน ... มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ของเหล่านี้ไม่ได้เป็นของข้า! ตำหนักของข้าไม่เคยมีของเช่นนี้! เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า! ฝ่าบาทเพคะ! "เมื่อเหยา ซูหลานมองเห็นสรั่นในมือของฮว้าน เฮิ๋งดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธ

          "เหตุใดท่านแม่ทัพฮว้านถึงได้หาสรั่นนี้พบ?" ท่าทางของเหย่ หงอี๋เปลี่ยนเป็นดำมืดขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น เขาค่อยๆมองไปที่เหยา ซูหลาน เพราะความประมาทของนางทำให้แผนการที่สร้างขึ้นอย่างระมัดระวังของเขาพัง นางสมควรจะตายจริงๆ!

          เหยา โม่ว่านกำลังเฝ้าดูละครฉากนี้ด้วยความสุขจากภายในอ้อมแขนของเหย่ หงอี๋ นางรู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจของชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆนางเมื่อมันเริ่มเต้นเร็วขึ้น นางช่วยไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสมเพช! มีวิธีการมากมายที่จะจัดการกับฮว้าน เฮิ๋ง แต่พวกเขากลับเลือกแผนการที่โง่เขลา วังหลังเป็นที่สถานที่มีเหตุเกิดขึ้นมากมายและเกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย แม้แต่ฮว้าน เฮิ๋งก็จะหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ได้

          “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบสรั่นอยู่ในหีบที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงของพระสนมกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ! "การแสดงออกของฮว้าน เฮิ๋งเป็นเรื่องน่ากลัว เหย่ หงอี๋มองไปทางด้านหมอหลวงเจิ้ง หมอหลวงเจิ้งเข้าใจได้โดยธรรมชาติและรับสรั่นไป 

          "ไม่เพคะฝ่าบาท ...! หม่อมฉันไม่มีหีบที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงเพคะ! "ในเวลานี้เหยา ซูหลานไม่สนใจในเรื่องของศักดิ์ศรีและล้มตัวลงไปใต้เตียง สิ่งที่น่าเศร้าคือนางได้เห็นหีบขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงของนางและยังมีสรั่นเหลืออยู่ข้างในอีกด้วย

           "เหนียงเหนียง! ท่านต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพของท่าน! ได้โปรดลุกขึ้นเถิดเพคะ! "ไชอิง ไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะพลิกผันไปอย่างกะทันหันและชั่วครู่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นางจึงทำได้เพียงก้มลงไปและดึงเหยา ซูหลานขึ้นมาเท่านั้น   

           เหยา โม่ว่าน เห็นว่าใบหน้าของไชอิง เริ่มซีดลงเหมือนกระดาษเมื่อนางกลับขึ้นมาและรู้ว่าเหยา ซูหลาน ได้พบคนที่จะกล่าวโทษแล้ว ความจริงที่ว่าเหยา ซูหลานสามารถตอบสนองได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แสดงให้เห็นว่าเหยา ซูหลานยังไม่โง่ เป็นเช่นนั้นก็ดี นางไม่ต้องการให้เหยา ซูหลาน ล้มลงไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นางยังสนุกไม่มากพอ!

          "ว่าอย่างไร?" เหย่ หงอี๋ กำลังหายใจหนักๆ และริมฝีปากบาง ๆ ของเขากัดเข้ากันอย่างแน่นหนา ในขณะที่เขาค่อยๆพูดขึ้น

          "ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้าย! ฮว้าน เฮิ๋งได้เตรียมสรั่นนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อใส่ร้ายหม่อมฉันเพคะ! "เหยา ซูหลานตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ นางไม่สามารถทำให้ตัวเองทิ้งไชอิง หญิงรับใช้ต่ำต้อยผู้นี้ได้ง่ายๆ  ดังนั้นนางจึงต้องพยายามจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย บ่าวคนนี้ทำหน้าที่รับใช้นางมานานกว่าเจ็ดปี แล้วเหยา ซูหลานก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
  
"กระหม่อมเชื่อว่าหมอหลวงเจิ้งจะสามารถบอกได้ว่ามันถูกจัดเตรียมขึ้นจากน้ำของกระหม่อมหรือไม่!" ฮว้าน เฮิ๋ง ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะที่เขาหันไปมองที่หมอหลวงเจิ้ง  

           "ทูลฝ่าบาท สรั่นนี้มีอยู่ในตำหนักหลวง และถูกเพาะปลูกขึ้นด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากหมอในตำหนักหลวงอย่างพิถีพิถันและไม่สามารถพบได้นอกพระราชวัง กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้วและพบว่าสรั่นนี้มาจากในตำหนักหลวงจริงๆพ่ะย่ะค่ะ "หมอหลวงเจิ้งพูดขึ้น    

          เสียงของหมอหลวงเจิ้งจางหายไป เมื่อมีเสียงของอะไรบ้างอย่างดังขึ้น จากนั้นก็รอยฝ่ามือที่น่าตกใจเกิดขึ้นบนใบหน้าของไชอิง และเลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากของนาง

          "นางบ่าวต่ำช้า! ข้าปฏิบัติกับเจ้าเป็นอย่างดี ทำไมเจ้าถึงต้องใส่ร้ายข้าเช่นนี้? "เหยา ซูหลานทำใจแข็งและผลักไชอิง ลงไปที่พื้น

          "เหนียงเหนียง โปรดเมตตา บ่าว ... บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ! "ไชอิง ร้องไห้เหมือนน้ำพุและร่างผอมๆ ของนางสั่นเสาขึ้น เหยา โม่ว่าน หายใจเข้าในภายในใจของนางด้วยความรู้สึกเสียดายไชอิง

          อย่างไรก็ตาม มีประโยคที่วางไว้ได้ดี คนที่น่าสงสารก็มีส่วนที่น่าเกลียดชังอยู่ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไชอิงในหัวใจของเหยา ซูหลาน และแน่นอนว่านางมีแผนการที่ไร้ความปราณีอย่างสิ้นเชิง

          "ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ทูลล่าเพคะ" ฮว้าน ฉ่าย ไม่ได้ส่งเสียงมาสักครู่ ในขณะที่นางยกคิ้วขึ้นเมื่อนางมองไปที่เหยา ซูหลาน ก่อนที่จะหันไปมองเหย่ หงอี๋อย่างเยาะเย้ย

          "เจิ้งผิดเอง เจิ้งจะมอบคำอธิบายที่น่าพอใจสำหรับเรื่องนี้ให้กับสนมเฉิน "เสียงของเหย่ หงอี๋ ดังขึ้นและไม่มีร่องรอยของความอบอุ่น ร่างกายของเขามีกลิ่นอายไอสังหารอย่างหนาแน่น เหยา โม่ว่าน เองก็รับรู้ได้ถึงไอสังหารนี้ เมื่อฮว้าน ฉ่ายจากไป ฮว้าน เฮิ๋ง ก็โค้งคำนับและออกจากตำหนักไปเช่นกัน

          "ฝ่าบาท  ... ว่านเอ้อร์กลัวเพคะ ... " เหยา โม่ว่าน หดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเหย่ หงอี๋ ในขณะที่นางมองหวาดกลัวในทิศทางของเหยา ซูหลาน

          "เจิ้นจะพาเจ้ากลับไปที่ตำหนัก" เหยา หงอี๋ ไม่แม้แต่จะมองไปที่เหยา ซูหลาน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและจากไปพร้อมกับเหยา โม่ว่าน เหยา เจิ้งถิง ที่ยืนอยู่ด้านข้างส่ายหัวแล้วก็ออกไปอย่างเงียบ ๆ ทั้งตำหนักจึงเงียบลงในทันที

          ภายในตำหนัก เหยา โม่ว่าน กำลังเล่นกับปุกปุยอย่างเฉื่อยชา ดวงตาที่มีชีวิตชีวาของนางนั้นบริสุทธิ์เหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ชัดเจน นางกะพริบตาเป็นบางครั้งยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับดวงตาเหล่านั้นมากขึ้น

          เหตุการณ์ที่สายเลือดมังกรได้รับพิษจนไปสู่ความตายได้รับการแก้ไขแล้ว เหย่ หงอี๋ ลงโทษไชอิง ให้ดื่มเหล้าพิษ เช่นนี้อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องพบกับชะตากรรมของการถูกตีจนตาย เพื่อประโยชน์ในการปลอบโยนฮว้าน ฉ่าย เหย่ หงอี๋ ได้ลดตำแหน่งของเหยา ซูหลานลง จากตำแหน่งกุ้ยเฟยให้กลายเป็นสนมระดับต่ำกว่าของนางสองขั้น ในตอนแรกเหย่ หงอี๋ มีเจตนาที่จะแต่งตั้งฮว้าย ฉ่ายให้เป็นกุ้ยเฟย แต่ฮว้าน ฉ่าย ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ เหยา โม่ว่าน รู้ว่านี่เป็นเพราะคำแนะนำของแม่ทัพฮว้าน เฮิ๋ง จากรูปลักษณ์ของเรื่องนี้ได้สั่นคลอนความซื่อสัตย์ในหัวใจของแม่ทัพฮว้าน เฮิ๋งขึ้น!

          "หยินเซี่ย" เหยา โม่ว่าน หายใจออกมาแล้วค่อยๆเรียกหยินเซี่ยขึ้น

          "นายท่านโปรดมีคำสั่ง" เหยา โม่ว่าน รู้สึกอยากจะถามหยินเซี่ยว่านางไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนในหลายๆ ครั้งและนางเองก็ให้ความสนใจกับมันทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

          “บอกเปิ่นเล่ย ให้หาคนเข้าใกล้ฮว้าน เฮิ๋ง ด้วยตัวตนของทูตลับจากแคว้นซู แล้วส่งคนไปแอบตรวจสอบที่พักอาศัยของแม่ทัพและหยุดทูตที่แท้จริงของแคว้นซู จากการแทรกซึมเอาไว้ ชู โม่เป้ย คนผู้นั้น ...! "ในการแลกเปลี่ยนในอดีตของพวกเขา นางไม่สามารถได้รับผลประโยชน์ใด ๆ แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีคือการที่นางไม่ได้จบลงด้วยความทุกข์ของการสูญเสียใด ๆ

          "ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้จะรีบไปทันที!" เมื่อได้รับคำสั่งแล้วหยินเซี่ย ก็จากไปในทันที การเคลื่อนไหวของนางเบาเหมือนเกล็ดหิมะ จนถึงจุดที่ปุกปุยซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเหยา โม่ว่าน ก็ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย

          "เจ้าเริ่มที่จะเกียจมากขึ้นเรื่อย ๆแล้วนะ !" เหยา โม่ว่าน ค่อย ๆ ลูบไล้ปุกปุยและจับหูมันอย่างสนิทสนม

          "เหมียววว!" ปุกปุย ร้องออกมา ก่อนจะนอนหลับไปอีกครั้ง