แคลร์มองไปที่หลิงอวี้นที่กำลังมีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่ในตอนนี้
เธอไม่รู้ว่ามันจะเป็นเพราะเธอเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอกลับมีความรู้สึกเหมือนกับว่ารอยยิ้มในตอนนี้ของ
ผู้ชายที่เยือกเย็นผู้นี้ มันกลับดูเหมือนจริงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
“เจ้าชายรู้ได้เช่นไรว่าข้าอยู่ที่นี่”แคลร์ยิ้มก่อนจะถามออกไป
“หรือว่าเจ้าชายมาที่นี่ด้วยธุระที่ต้องจัดการ”
“เพราะซวนซวน
อยากจะพบท่านหญิง
ข้าจึงได้พาซวนซวนไปหาท่านที่ปราสาทฮิลล์ แต่ท่านหญิงไม่ได้อยู่ที่นั้น
ดยุคกอร์ดอนบอกว่าท่านหญิงจะมาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
ตอนนี้ท่านหญิงกำลังจะเดินทางกลับแล้วใช่หรือไม่”หลิงอวี้นยกยิ้มขึ้นเบาบาง
ก่อนจะพูดขึ้นอีก
“ส่วนข้ามาที่นี่เพราะธุรของวิหารแห่งแสง
มีบางอย่างที่ต้องจัดการ”
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ
ใช่แล้วตอนนี้พวกเรากำลังจะเดินทางกลับ แล้วซวนซวยเป็นอย่างไรบาง”แล้วก็แคลร์เข้าใจได้ในทันที
ก่อนจะนึกไปถึงสาวน้อยน่ารักผู้ลึกลับคนนั้น
“เช่นนั้นก็ดี
ซวนซวนนั้นอยากจะพบท่านหญิงเป็นอย่างมาก”แล้วหลิงอวี้นก็พูดขึ้นอย่างจริงใจ
“ท่านหญิงแคลร์ ถ้าข้าจะขอติดค้างท่านหญิงสักครั้ง
ท่านหญิงจะตกลงหรือไม่”
“ท่านต้องการให้ข้าไปพบกับซวนซวนใช่หรือไม่”แคลร์ยิ้ม
เข้าใจได้โดยธรรมชาติว่าหลิงอวี้นต้องการจะพูดอะไร
“ใช่แล้ว ท่านหญิง ข้าหวังว่าท่านหญิงแคลร์จะตกลง”หลิงอวี้นพูดพร้อมกับรู้สึกอับอายเล็กน้อย
“ข้าไม่เคยเห็นซวนซวนเป็นกังวลต่อผู้อื่นได้มากขนาดนี้มาก่อน”
“ตกลงข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
แต่ว่าซวนซวนอยู่ที่วิหารแห่งแสง มันจะดูไม่เหมาะสำหรับข้าหรือเปล่า” แคลร์พูดขึ้น
“เจ้าหญิงแห่งแสงได้ให้สัญญาว่าจะพาซวนซวนไปพบท่านหญิงที่ปราสาท
เมื่อท่านกลับไปถึง
หวังแต่ว่าท่านหญิงแคลร์จะไม่เดินทางล่าช้า”หลิงอวี้นพูดติดตลกที่ไม่เคยทำมาก่อน
แถมมันยังไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆ
เช่นนั้นพวกเราคงจะต้องขอตัวก่อน จะได้ไม่รบกวนเวลาของเจ้าชายในการไปจัดการธุระด้วย”
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตลก แต่แคลร์ก็ยังแกล้งหัวเราะขึ้น
วอลเตอร์รู้สึกผะอืดผะอมในสิ่งที่ได้ยิน
แถมยังแอบชื่นชมทักษะของทั้งสอง ที่สามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้
“เช่นนั้นท่านหญิงแคลร์
ข้าขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัย”หลิงอวี้นพูดคำอำลา ก่อนจะมองไปเห็นกลุ่มคนของแคลร์ที่อยู่ทางด้านหลังไม่ไกลนัก
ก่อนจะพูดขึ้นในน้ำเสียงที่ต่ำ
“กลุ่มเพื่อนของท่านหญิงแคลร์ไม่เลวเลยจริงๆ”
“ฮ่า ๆ ขอบคุณ”แคลร์ตอบกลับอย่างสุภาพ
จากนั้นทั้งสองก็แยกจากกัน
เมื่อร่างของหลิงอวี้น
หายไปจากสายตาของทุกคน วอลเตอร์เริ่มต้นสร้างความสับสนวุ่นวายขึ้น
“ไม่ใช่ว่าเจ้าหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นมาที่นี่เพื่อเจ้าหรอกหรือ
ข้านึกว่าเขามาที่นี่เพื่อเจ้าเสียอีก”
แคลร์เงียบลง แล้วในที่สุดเธอก็พูดกับวอลเตอร์ขึ้นอย่างช้าๆ
“มันควรจะเชื่อมต่อมาถึงข้าอยู่แล้ว วิหารแห่งแสงคงจะสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจมืดที่แข็งแกร่ง
และกลิ่นอายที่หนาแน่น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาเจ้าชายแห่งแสงออกมา เพื่อทำการตรวจสอบหรือไม่ก็กำจัดมันหลังจากการตรวจสอบแล้ว”
“แล้วไงต่อ” วอลเตอร์ขมวดคิ้ว
“แต่เขายังไม่รู้ว่าข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”แคลร์พูดขึ้นเบาๆ
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงได้ทำตัวสนิทกับข้าเช่นนั้น
แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่มีประโยชน์
เรามีโอกาสที่จะรู้การเคลื่อนไหวของวิหารแห่งแสงได้ และเราสามารถที่จะป้องกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้าได้
วิหารแห่งแสงนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัว เพียงแค่สองวันพวกเขาก็รีบส่งคนออกมาตรวบสอบแล้ว”
“วิหารแห่งแสงสร้างอยู่ในทุกประเทศ และมีการสร้างประตูเชื่อต่อเอาไว้”
วอลเตอร์เดาะลิ้นเหยียดหยันขึ้นครั้งหนึ่ง
“ฮึ่ม! พวกเขากำลังสร้างมันขึ้นมาจาก
เลือด เหงื่อ และน้ำตาของคนธรรมดาสามัญที่ต้องการหาเงิน มีคนจำนวนมากมีความยินดีที่จะบริจาคเงินให้กับพวกเขา”
ประตูเชื่อมต่อหรือ ไม่น่าเล่าหลิงอวี้นถึงได้มาที่นี่ได้รวดเร็วเช่นนี้
แถมกำลังจะออกไปตรวบสอบ แทนที่จะเป็นพึงมาถึง”
“เติมเสบียงบางอย่างแล้วไปซื้อรถม้าเพื่อที่จะเดินทางบนถนนสายหลักกลับกันเถอะ”
คลิฟรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ดีเอาเสียเลย ตอนนี้การจะทำลายเครื่องหมายของแคลร์ก็ใช้ไม่ได้
แล้วเขาจะอารมณ์ดีได้อย่างไร
“แคลร์”ในขณะที่แคลร์กำลังจะตอบกลับคลิฟไปนั้น
น้ำเสียงที่จริงจังของกงหยูก็ดังมาจากด้านหลัง เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก
“กงหยูมีอะไรหรือ”แคลร์หันไปมองที่กงหยู
ก่อนจะเห็นการแสดงออกที่ดูเคร่งครึมของเขา
โดยปกติแล้วเป็นเรื่องยากที่กงหยูจะแสดงออกเช่นนี้ เขาจ้องมองมาอย่างแน่วแน่
เหมือนกับเขาได้ตัดสินใจแล้ว
“แคลร์รอข้านะ ข้าจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งให้ได้
แล้วจากนั้นข้าจะกลับมา” กงหยูมองมองไปแคลร์ทุกคำพูดที่ออกมานั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง
แคลร์อึ้งไป
ไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมาได้อยู่ชั่วครู่
“เจ้าหนุ่มน้อย
เจ้าจะจากไปแล้วหรือ”คลิฟกระพริบตาก่อนจะพูดขึ้นอย่างสับสน ผู้ชายคนนี้ได้มีทัศนคติที่จริงใจต่อแคลร์อย่างเห็นได้ชัด
แล้วในตอนนี้เขากำลังจะจากไปจริงๆ
“เพราะเขาคิดว่าเขาอ่อนแอเกินไป
และไม่มีทางที่จะปกป้องเจ้าได้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นค่อยกลับมา”เหวินโม่ขดริมฝีปากของเขาก่อนจะพูดกับอีกคน
“แค่ไปทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ทำไมข้าจะต้องไปทนทุกข์กับเจ้าด้วยก็ไม่รู้”
จู่ๆ แคลร์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าในการต่อสู้ครั้งนั้น
เหวินโม่ได้หยุดกงหยูเอาไว้ จากการเปิดผนึกของเขา บอกว่าเขาไม่สามารถที่จะทนต่อพลังอำนาจนั้นได้
มันคืออะไรกันแน่
“ข้าจะกลับมา”
กงหยูไม่ล่ะสายตาไปจากแคลร์
“ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน
ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้า ข้าจะแต่งงานกับเจ้า”
แคลร์ถึงกับสูญเสียคำพูดของเธอไป ในความเป็นจริงตามลักษณะของกงหยู
เขายังไม่ถึงสิบห้าเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่แคลร์อายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น หรือว่าผู้คนในโลกนี้จะเป็นผู้ใหญ่ก่อนอายุ
หรือไม่ก็เป็นเพราะกงหยู ชานผู้นี้เขามีวิธีคิดที่ไม่เหมือนใคร
“พวกเจ้าจะจากไปตอนนี้เลยหรือ”
ซัมเมอร์ถามขึ้นอย่างมีพิรุธ
“ใช่แล้ว เราจะไปตอนนี้เลย” เหวินโม่หันกลับไปอย่างลังเล
ก่อนจะมองไปที่ซัมเมอร์ และพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ข้าก็จะกลับมาด้วยเช่นกัน”
“ถ้าพวกเจ้าไม่กลับมาแล้วจะอย่างไร”ซัมเมอร์เดาะลิ้นของเธออย่างไม่สนใจ
“ดี เจ้าหนุ่มน้อย ข้าจะรอให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นและกลับมา”
คลิฟยิ้มขึ้นเล็กน้อย เจ้าหนุ่มหัวแดงผู้นี้ มีศักยภาพที่ดีมาก และอารมณ์ของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
เขาคงจะคิดถึงเจ้าเด็กนี้อยู่เหมือนกัน
“ระวังตัวด้วย”แคลร์พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ดวงตาของกงหยูมีประกาย
ก่อนจะจับไปที่มือของแคลร์ แล้วพูดขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเขา
“ที่รัก
ข้าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
เจ้าก็ควรจะดูแลตัวเองและรอการกลับมาของข้าด้วยเช่นกัน”
ในเวลาต่อมา ใครบางคนก็คุกเข่าลงไปที่พื้น
พร้อมกับมือกุมตาของเขาเอาไว้ ก่อนจะโอดครวญขึ้นอย่างเจ็บปวด จริงตามคำของแคลร์
เธอได้ทำในสิ่งที่เธอเคยสัญญาเอาไว้ ว่าจะต่อยตาของกงหยูอีกข้าง
ถ้าเขาทำเช่นนี้อีก
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบๆ ต่างแสดงความอยากรู้อยากเห็น
และมองไปด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นกลุ่มคนเหล่านี้ แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้และพูดคุยด้วย
พวกเขาจะกล้ามากระตุ้นคนที่สามารถใช้เป็นสัตว์เวทย์ระดับเจ็ดแทนม้าได้อย่างไร
หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากเมือง
เหวินโม่และกงหยูก็บอกลาแคลร์อย่างไม่เต็ม คนที่ไม่เต็มใจมากที่สุดก็คงจะเป็นกงหยู
แล้วกลุ่มของพวกเขาและเสือดาวลมอีกหนึ่งตัวก็ได้เดินทางกลับไปยังเมืองหลวง
ปราสาทฮิลล์
ในห้องหนังสือ
ดยุคกอร์ดอน กำลังนั่งมองไปที่เครื่องราชกกุธภัณฑ์รูปกุหลาบบนผนังอยู่เงียบๆ
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน ดยุคกอร์ดอนถึงได้พูดขึ้น
“เอ็มเมอรี่
เจ้าคิดอย่างไรกับคนที่แคลร์พากลับมาด้วย”
เอ็มเมอรี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปอย่างรอบคอบ
“เรียกท่านดยุค ชายที่สวมใส่ชุดสีดำผู้นั้น มีความแข็งแรงมาก
และอันตรายมาก เขามีกลิ่นอายของความกดดันออกมาตลอดเวลา”
“ไม่เลว
ชายชุดดำผู้นั้นมีความแข็งแรงมากเป็นพิเศษจริงๆ
เป็นสิ่งที่นึกไม่ถึงจริง ๆ”
ดยุคกอร์ดอนลูบไปที่มุมปากที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ของเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน
ดยุคกอร์ดอนไม่ได้เป็นเพียงดอกไม้ที่ประดับอยู่ในแจกันเท่านั้น
มีไม่กี่คนในเมืองหลวงที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยบกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา
แน่นอนอยู่แล้วว่าหลักสูตรหลักของการเป็นหัวหน้าตระกูลไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
เอ็มเมอรี่เงียบลง ความแข็งแรงเป็นสิ่งที่ดี
แต่มันไม่มีหรอกที่ได้กำไรโดยไม่มีความเสี่ยง เขาเข้าใจในความหมายของดยุค หากชายชุดดำผู้นี้มาด้วยใจจริง
เขาก็สามารถที่จะช่วยเหลือตระกูลฮิลล์ได้เป็นอย่างดี แต่ ...... ถ้าคนที่แข็งแกร่งเช่นนั้นกลายมาเป็นผู้ต่อต้านตระกูลฮิลล์แล้วล่ะก็
มันจะกลายเรื่องให้ปวดหัวขนาดใหญ่เลยทีเดียว
“แคลร์ได้เก็บเกี่ยวผลกำไรเป็นจำนวนมากในครั้งนี้
ฮ่า ๆ” ดยุคกอร์ดอน หัวเราะขึ้น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาดีมาก แคลร์ได้ก้าวเข้าสู่ลำดับของพ่อมดแม่มดแล้ว
แถมยังนำผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นกลับมาด้วยอีก
แต่เอ็มเมอรี่กลับเป็นกังวล
ด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่งไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการได้ มันมีกรณีอื่นๆ
ให้เห็นอยู่บ่อยครั้งแล้ว
“สุดยอดแคลร์
ข้าจะได้อาศัยอยู่ที่นี่นับจากนี้ไปใช่หรือไหม”ซัมเมอร์กระโดนขึ้นเตียงที่งดงามด้วยความพอใจ
“ใช่ แล้วก็จำเอาไว้ว่าอย่าได้ก่อปัญหาใด
ๆขึ้น ถ้าเจ้าไม่ชอบอะไรบางอย่าง หรือใครสักคน ก็อย่าไปใส่ใจ”แคลร์พูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล
อาหารก็ดี สภาพความเป็นอยู่ก็ดี ข้าจะไม่ทำสร้างปัญหาใด ๆ ขึ้นอย่างแน่นอน แต่จริงๆนะ
ข้าไม่เคยคิดว่าครอบครัวของเจ้าจะร่ำรวยได้ขนาดนี้” ซัมเมอร์กลิ้งไปรอบ ๆเตียงอย่างมีความสุข
นี้เป็นครั้งแรกของเธอที่จะได้อาศัยอยู่อย่างหรูหราเช่นนี้ ที่บ้านของเธอ เธอได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจัง
สภาพความเป็นอยู่ของเธอไม่ต้องพูดถึง
“เช่นนั้นก็ดี”
แคลร์พยักหน้า
“ท่านอนเกลือกกลิ้งของเจ้านี่น่าเกียจมาก”จู่ๆ
เสียงของเบนก็ดังขึ้นจากทางเข้าประตู
“เจ้าเข้ามาโดยไม่เคาะประตูด้วยซ้ำ
เจ้าผู้ชายไร้มารยาท”ซัมเมอร์พูดขึ้นด้วยความโกรธ
เบนยักไหล่ไม่สนใจ “ประตูของเจ้าไม่ปิดเอาไว้ด้วยซ้ำ
แล้วทำไมข้าจะเคาะด้วย”
“เจ้า!” ซัมเมอร์กระโดดขึ้นด้วยความโกรธ แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเบน
เธอได้แต่สาปแช่งอยู่ภายใน ไอ้ผู้ชายบ้า ไอ้คนไร้มารยาท