ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แวมไพร์หลงยุค (นิยายแปล ฮาเร็ม ) ตอนที่ 5 : คนขอข้า ใครก็ห้ามแตะ

 
          หยูเหยามองตรงไปที่โม่ชิงหลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความงงงวย เฟิง เฉิงหลิงก็แสดงอาการออกมาไม่การกัน มันไม่ใช่เพราะองค์หญิงหกเองหรอกหรือ ที่เป็นคนทำให้เกิดเรื่องที่โหดร้ายเช่นนี้กับเขา หากแต่หยูเหยากลับมองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธที่มันปรากฏออกของจากดวงตาของโม่ ชิงหลี่ ก่อนที่นางจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

            “ คือว่า....คือว่าองค์หญิงองค์โตเพคะ”

            องค์หญิงองค์โต โม่ ฉิ่งอวี๋ นั่นเอง สำหรับโม่ ฉิ่งอวี๋คนนี้แล้ว โม่ ชิงหลี่ยังพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับนางอยู่ในร่างนี้บ้าง นางคือธิดาที่องค์จักรพรรดินีโปรดปรานเป็นที่สุด และจากการพิจารณาของเหล่าขุนนางเป็นส่วนใหญ่แล้ว มีแนวโน้มว่าองค์หญิง โม่ ฉิ่งอวี๋คนนี้จะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์องค์ต่อไป

            เฟิง เฉิงหลิงที่สามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นที่มีอยู่รอบตัวของโม่ ชิงหลี่ในเวลนี้ เขานั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูกได้แต่ชงักงั้นอยู่กับที่ไร้ซึ้งคำพูดใดๆ เพียงไม่นานเมื่อสติของเขากลับมา เขาก็หัวเราะขึ้นเสียงดังราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง
            “ฮา ฮา ฮา ...ฮา ฮา ฮา ..โม่ ชิงหลี่ ฮึ่ม..โม่ ชิงหลี่ ด้วยสายตาที่มืดบอดของข้า มันทำให้ข้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ การเล่นบทละครต่อหน้าข้าเช่นนี้ มันจะทำให้เจ้าได้อะไรกลับไป หากเจ้าทำเพื่อที่จะเยาะเย้ยข้า เช่นนั้น ข้าต้องของแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าทำมันได้สำเร็จแล้ว”

            โม่ ชิงหลี่มองตรงไปที่ เฟิง เฉิงหลิง ที่กำลังหัวเราะราวกับคนเสียสติจนร่างการสั่นเทาแทบจะยืนไม่อยู่ ภายในใจของโม่ ชิงหลี่ที่จองมอง เฟิง เฉิงหลิงด้วยสายตาเป็นประกายลึกซึ้งด้วยความกระหายเลือด มือน้อยของนางกำแน่นทั้งสองข้าง ด้วยความอดกลั้น คนของข้า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจมารังแกได้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม สายลมเบาๆ กระจายออกมาจากร่างของโม่ ชิงหลี่ ทำให้แขนเสื้อของนาวพลิ้วไหว ก่อนที่ร่างงามจะหันเตรียมตัวเดินจากไป พร้อมกับทิ้งคำพูดเอาไว้

            “คือนี้ นำเฟิง เฉิงหลิง มาพบข้า” น้ำเสียงที่ดังชัดเจนเต็มไปด้วยร่อยรอยของความโกรธดังขึ้น

            หยูเหยามองตรงไปที่ เฟิง เฉิงหลิง คนที่แม้ว่าตอนนี้จะล้มลงไปที่พื้นแล้วก็ยังคงหัวเราะอย่างบ้าครั่ง นางแทบจะไม่สามารถมองมันได้อีก หยูเหยาเดินตรงไปด้านหน้าของ เฟิง เฉิงหลิง ก่อนจะนั่งลงต่อหน้าเขา พร้อมกับพูดอย่างปลอบใจ

            “ที่ปรึกษาสี่ จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ บางที บางทีองค์หญิง นางอาจจะพูดออกมาจากใจจริงก็เป็นได้ บางทีองค์หญิงอาจจะอยากให้ท่านได้ระบายความโกรธเคืองออกมาบ้าง” จริงๆ แล้ว ตอนที่องค์หญิงได้พูดคำพูดเหล่านั้นออกมา นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อ จะอย่างไรก็ตาม อดีตองค์หญิงหก ผู้ที่อ่อนแอและขี้ขลาด ทุกอย่างที่ออกมาจากคำพูดของนางไม่ได้มีผลกระทบหรือสำคัญในพระราชวังแห่งนี้เลย มันเหมือนกับว่านางนั้นไร้ตัวตนไปแล้ว  สำหรับ หยูเหยานางคิดว่ามันอยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าองค์หญิงหกจะช่วยเหลือคนที่พึ่งจะพิการอย่างเฟิง เฉิงหลิงแก้แค้น และจะยอมเป็นศัตรูกับองค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋

            หยูเหยามองดวงตาทั้งสองข้างที่เป็นหลุมลึกของเฟิง เฉิงหลิง ที่ยังคงหัวเราะอยู่เช่นเดิม หยูเหยาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวออกไป

            “คืนนี้ ข้าจะให้คนมานำทางท่าน”

            เสียงหัวเราะของเฟิง เฉิงหลิงหยุดไปชั่วขณะ เฉิงหลิงขบริมฝีปากล่างของเขา ไหล่ทั้งสองข้างสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้

 “โม่ ชิงหลี่ เจ้าเคยทรมานข้าจนเกือบตาย เจ้ายังคงจะไม่ยอมหยุดใช่หรือไม่”

“องค์หญิงเพคะ เฟิง เฉิงหลิงมาถึงแล้วเพคะ” เสียงบ่าวรับใช้ด้านนอกดังขึ้น

“ให้เข้ามา”

            โม่ ชิงหลี่ว่างหนังสือในมือของนางลง มือข้างหนึ่งท้าวคางมลในท่าสบายๆ หัวคิ้วน้อยของนางยกขึ้น ก่อนจะมองไปที่ เฟิง เฉิงหลิงที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาแต่งตัวด้วยชุดสีดำดูเรียบง่าย ยืนอยู่ในท่าทางที่ผ่าเผย และสง่างาม แม้จะไร้ซึ้งดวงตา แต่ความสง่าของเขาก็หาได้ลดลงไปไม่

            “องค์หญิง” น้ำเสียงที่ไม่แสแยและเย็นชาดังขึ้น ทำให้โม่ ชิงหลี่กลับมาอยู่ในโลกของปัจจุบัน

            โม่ ชิงหลี่หัวเราะอย่างดูถูกตัวเอง องค์หญิงผู้นี้ช่างน่าผิดหวังเสียจริง
ใครจะไปคิดว่าผู้ที่มีพลังมหาศาลอย่างเจียงซือ ผู้มีอายุเกือบจะหนึ่งร้อยปี จะโดนดูถูกจากมนุษย์ธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง ถึงแม้จะได้รับการดูถูกจากคนตรงหน้า โม่ ชิงหลี่ก็ยังสงบท่าทางอย่างอดทน หากแต่ความรู้สึกเช่นนี้ที่นางพึ่งจะได้รับจากคนตรงหน้า มันเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจเอาเสียเลย

            โม่ ชิงหลี่เดินตรงไปอยู่ข้างๆ เฟิง เฉิงหลิง ก่อนจะยื่นมืองานไปจับมือใหญ่หนาของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

            “ข้าขอโทษ” คำพูดประโยคนี้ เป็นประโยคที่นางพูดออกมาจากใจจริง

            โม่ ชิงหลี่พึ่งจะนึกได้ทีหลัง ว่าความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตาของเขาก็คงจะไม่บอดเช่นนี้ ความผิดจริงๆ ก็ล้วนเกิดขึ้นจากนางทั้งนั้น

            เฟิง เฉิงหลิงแต่เดิมนั้นเป็นบุตรชายของขุนนางในวังหลวง ต่อมาเขาได้รับการยกย่องให้เป็นเสมือนผู้สูงศักดิ์ และได้รับการราชโองการให้หมั่นหมายกับโม่ ชิงหลี่ แต่ใครจะไปคิดในคืนวันวิวาห์ของพวกเขา องค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น และเกิดชอบพอในตัวของ เฟิง เฉิงหลิงเข้า ด้านองค์หญิงหกด้วยต้องการที่จะเอาใจโม่ ฉิ่งอวี๋ ผู้พี่ของนาง โม่ ชิงหลี่ยอมที่จะยก เฟิง เฉิงหลิงให้กับองค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋ในทันทีโดยไม่ต้องคิดทบทวน

            แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตเฟิง เฉิงหลิง ได้ถูกสั่งสอนไว้ว่าทุกคนจะต้องปฏิบัติตามสามคุณธรรมคำสอนของขงจื้อ ว่าด้วย จงซื่อสัตย์ต่อความตาย ในชีวิตหนึ่งควรจะมีเพียงหนึ่งภรรยา เขายังคงยืนยันว่าเขานั้นได้แต่งงานกับ โม่ ชิงหลี่แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตนแตะต้องตัวของเขา

            องค์หญิงโม่ ฉิ่งอวี๋เมื่อเห็นว่า เฟิง เฉิงหลิงยอมตายแต่ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของนาง โม่ ฉิ่งอวี๋นั้นก็โกรธเป็นอย่างมาก นางดึงปิ่นปักผมออกมาจากด้านบนหัวของนาง แล้วนางก็แทงมันไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของ เฟิง เฉิงหลิงด้วยความเกรี้ยวกราด หลังจากนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เฟิง เฉิงหลิง ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดตามลำพัง

            หลังจากที่โม่ ชิงหลี่ ได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดของเฟิง เฉิงหลิง นอกจากนางจะไม่สั่งให้คนไปช่วยเขาแล้ว นางกลับนำเฟิง เฉิงหลิงที่อาบไปด้วยเลือดไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนที่เหน็บหนาว เฟิง เฉิงหลิงถูกขังอยู่ภายในห้องเก็บฟืนเป็นเวลาสามวัน สามคืน มีเพียงแค่เสียงของหยดน้ำเท่านั้นที่เปรียบเสมือนเพื่อนผู้เดียวของเขา

            หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เกิดติดเชื้อขึ้นอย่างหนัก มันทำให้เขาทุกข์ทรมานเกือบตายอยู่ในนั้น แล้วโม่ ชิงหลี่ ในตอนนั้น นางได้ปล่อยตัวเขาหรือไม่ นางได้มาดูแลเขาหรือไม่        
         


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น